วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โดนไวรัส Show Hidden files and foldersไม่ได้

ไวรัส Show Hidden files and folders  เป็นไวรัสที่เข้ามาก่อกวนในระบบ Windows
ทำให้ค่าของระบบเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่สามารถ Show Hidden files ได้ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือ
เวลาที่ท่านนำ Flash Drive มาใช้งาน ไวรัสชนิดนี้จะสามารถ Copy ตัวเองหรือเรียกอีกอย่างว่า โคลนนิ่ง
ไปยัง Flash Drive ตัวนั้น และเวลาที่คุณนำไปใช้งานกับเครื่องอื่น ๆ ก็จะส่งผลให้เครื่องนั้น
โดนไวรัสชนิดนี้เช่นเดียวกัน



เข้าไปที่ My Computer > Tools > Folder Options > View > Show Hidden files
จะเห็นว่าระบบมีให้เลือกทั้งหมด 2 หัวข้อคือ
1.Don’t show hidden files,folder,or drives หมายถึงซ่อนไฟล์และโฟลเดอร์ของระบบไม่ให้มองเห็นทุกไฟล์
2.Show hidden files, folder , and drives หมายถึง โชว์ไฟล์และโฟลเดอร์ของระบบให้มองเห็นทุกไฟล์



แต่หลังจากที่คุณได้ทำการเลือกไปที่ Show hidden files, folder , and drives แล้วกดปุ่ม OK
ระบบก็จะกลับไปเป็น Don’t show hidden files, folder , or drives อีกครั้ง
สาเหตุนั้นมาจากไวรัสชนิดนี้ทำให้ระบบไม่สามารถปรับค่าของ Show Hidden files ได้ครับ

วิธีแก้ไข Show Hidden files ดังนี้
ให้คุณโหลดตัวแก้ที่นี่ http://www.ziddu.com/download/7963949/ShowHiddenfiles.rar.html



หลังที่ได้ไฟล์มาแล้วให้คุณแตกไฟล์ด้วยโปรแกรม WinZip , Winrar จากนั้นจะเห็นว่ามีไฟล์ชื่อว่า
Show Hidden files .reg ให้คุณดับเบิลคลิก 1 ครั้ง เสร็จจากนั้นให้คุณ Restart เครื่องของคุณ
แล้วลองกลับไปตั้งค่าดูครับว่าได้ผลอย่างไร

ขอแนะนำให้คุณใช้ Antivirus ที่ถูกลิขสิทธิ์เครื่องของคุณจะได้ปลอดภัยจากไวรัส
และไม่ต้องเสียเวลา Format ลง Windows ใหม่ครับ ......



Credit: http://www.notebookspec.com/web/?p=17411

การสร้างไฟล์ ISO จากแผ่น

ไฟล์ ISO ที่สร้าง จากแผ่นโดยใช้โปรแกรม DVD Decrypter
หลังจากติดตั้งโปรแกรมแล้วก็เปิดโปรแกรมขึ้นมา

1.กดในช่อง Source เพื่อเลือกไดร์ทที่ใส่แผ่นไว้




2.กด Mode เลื่อนไปที่ ISO เลือกคำสั่ง Read
 


3.กดที่รูปแฟ้มครับเพื่อเปลี่ยนไดร์ทและตั้งชื่อไฟล์ ISO
 


4.จะเก็บไฟล์ไว้ในไหนก็เลือกเอานะครับ อย่าลืมตั้งชื่อในช่อง File name ครับ แล้วกด Save ต่อไปครับ
 


5.ก็จะขึ้นตามรูปด้านล่างนี้ให้กดปุ่มดังรูปได้เลยคร ับ โปรแกรมก็จะเริ่มอ่านไฟล์ในแผ่นมายัง Hdd. เราครับ
 


6.ก็จะขึ้นตามรูปด้านล่างนี้ครับ รอหน่อยครับเดี๋ยวก็เสร็จครับ
 


7.เมื่อขึ้นตามรูปด้านล่างแสดงว่าขบวนการทำไฟล์ iso ได้เรียบร้อยแล้วให้กด OK ออกจากโปรแกรมได้เลยครับ
 


วิธีการนี้สามารถนำไปใช้กับเกมส์หรือโปรแกรม อื่นๆได้ ครับ ที่แน่ๆโปรแกรมนี้ให้ใช้ฟรีครับ มีความสามารถอื่นๆอีกมาก ลองไปศึกษาดูครับ...
 
Credit: http://www.nonstopbit.com/

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

BitTorrent คืออะไร

Bittorrent คือการแลกเปลี่ยนไฟล์ในลักษณะที่ว่านี้
คือเป็นการทำงานแบบ peer-to-peer หรือ p2p ความหมายของ p2p คือ การทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์
แต่ละเครื่องจะมีการติดต่อกันโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ นับเป็นการแก้ปัญหาคอขวด
ที่เซิร์ฟเวอร์อย่างตรงไปตรงมาที่สุด

Bittorrent ใช้แนวความคิดของการเป็นทั้งผู้ให้ และ ผู้รับในเวลาเดียวกัน โดยไฟล์ที่เราต้องการ
จะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ และในการรับ-ส่งไฟล์ก็จะทำงานทีละส่วน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชิ้นส่วน
ที่ต่อเนื่องกันก็ได้ เมื่อเราได้ชิ้นส่วนครบเมื่อไหร่ก็แสดงว่าการดาวน์โหลดไฟล์ของเรา
เสร็จสมบูรณ์ ในระหว่างที่เรากำลังดาวน์โหลดชิ้นส่วนของไฟล์อยู่นั้นเราก็จะให้บริการอัพโหลดชิ้นส่วน
ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้วให้แก่ผู้อื่นด้วย สำหรับการดาวน์โหลดไฟล์ที่ต้องการนั้น
เริ่มต้นด้วยการติดต่อไปยังไซต์ที่ทำหน้าที่เป็น tracker ซึ่งรายชื่อ trackerนี้จะเก็บรวบรวมไว้ที่เซิร์ฟเวอร์
ของ torrent และเว็ปไซต์ในปัจจุบัน ก็มีอยู่มากเลยทีเดียว

Bittorrent เป็นมาตรฐาน P2P (peer to peer) ที่ใช้เพื่อรับส่งไฟล์ระหว่างผู้ใช้ Internet ด้วยกัน
เครื่องผู้ใช้จะติดต่อกับเครื่องของผู้ใช้อื่นเพื่อรับส่งชิ้นส่วนของไฟล์ จะมีเครื่องมือหนึ่ง หรือโปรแกรม
เรียกว่า Tracker ทำหน้าที่เป็นตัวจัดระบบการสื่อสารระหว่างผู้ใช้เหล่านั้น(peers) ตัว Tracker
จะทำหน้าที่จัดการเท่านั้น จะไม่มีข้อมูลของไฟล์ที่รับส่ง

ดังนั้น Tracker จึงไม่ต้องมีเน็ตที่แรงเพราะไม่ได้รับส่งไฟล์เองสิ่งที่ทำให้ BT อยู่ได้ก็คือหลักการ
ที่ผู้ใช้ควรจะส่งไฟล์ขณะเดียวกับที่รับไฟล์ หากมีผู้ใช้มากก็จะเร็วมาก การทำงานของ BT
ก็คือการหั่นไฟล์นึงเป็นหลายๆ ส่วน แล้วส่งคนละส่วนไปยังผู้รับหลายคน พอผู้รับเหล่านั้น
ได้รับส่วนเหล่านั้นก็จะสามารถรับส่งกันเองเพราะต่างกันต่างมีชิ้นส่วนที่คนอื่นไม่มี
ทำให้ไม่ต้องพึ่งผู้ส่งผู้เดียว



BitTorrent กับ P2P ต่างกันอย่างไร
P2P จะเป็นการติดต่อแค่ 1-1 เท่านั้น คือ 1 ไฟล์ จะมีแค่เพียง 1 Connection ระหว่าง ผู้ส่งกับผู้รับ เท่านั้น
ทำให้มีความเร็วต่ำโดยเฉพาะถ้าคนปล่อยไฟล์โดนคนดูดไฟล์หลายๆคนรุมดูดพร้อมกัน จะช้ามากๆและลักษณะ
การส่งจะเป็นแบบทิศทางเดียว คือ ผู้ส่ง - ผู้รับ จึงเหมาะกับแชร์ไฟล์ขนาดเล็กๆเท่านั้น
เช่น ไฟล์ MP3 รูป zipขนาดไม่เกิน10M

BitTorrent เป็นการรวมคนปล่อย และคนดูด ไฟล์ใดไฟล์หนึ่ง เข้ามารวมไว้ด้วยกัน
จะมีการติดต่อตามจำนวนคนที่แชร์ไฟล์นั้นอยู่ คือ 1 ไฟล์ จะมีหลาย Connection ทำให้มีความเร็วสูง
แบบเดิมจะรับไฟล์ได้จากคนปล่อยเพียงคนเดียว ส่วน BT ก็จะรับไฟล์จากคนปล่อยได้หลายคน
ลักษณะการส่งจะเป็นแบบส่งต่อ คือคนที่ได้รับไฟล์แล้วก็จะส่งไฟล์ต่อไปให้คนที่ยังไม่ได้อีกที
คือแทนที่จะเป็นคนรับอย่างเดียว ก็จะเป็นทั้งรับ และปล่อย ไปพร้อมๆกัน เวลารุมดูดไฟล์พร้อมกันจึงไม่ช้า
เหมาะกับการแชร์ไฟล์ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 10M ขึ้นไปจนถึง 10G หรือมากกว่านี้

Tracker คืออะไร
Tracker คือ เครื่องมือ หรือ โปรแกรมในเน็ตที่ทำหน้าที่จัดการประสานการระหว่างผู้ที่ต่อเข้า BitTorrent
เมื่อคุณเปิดไฟล์ torrent ตัว client ก็จะติดต่อกับ tracker (ที่ระบุใน torrent) เพื่อขอรายชื่อผู้ที่อยู่ใน swarm
ของไฟล์นั้นๆในปัจจุบัน ตัว tracker จะรู้ว่าสมาชิกของ swarm มีชิ้นส่วนไหนของไฟล์รวมทั้งสถานะของสมาชิก
แต่ละคน หากtracker เกิดขัดข้องก็จะไม่สามารถเริ่มโหลดไฟล์นั้นได้ แต่หากโหลดอยู่แล้วก็สามารถโหลดต่อได้

Tracker จะมี 2 แบบคือ
1.ระบบปิด ต้องเป็น Member คิด Ratio ส่วนมากจะเป็นระบบนี้ ข้อดีโหลดได้ไว คิดRatio ทำให้คนอยากปล่อย
2.ระบบเปิด ไม่ต้องเป็น Member ไม่คิด Ratio เช่น Suprnova.org ข้อเสีย ปลิงเยอะ โหลดช้า

Leechers และ Seeders คืออะไร
Seeder เรียกง่ายๆ ว่า ผู้แจก มีหน้าที่แจกไฟล์ หรือ Upload เท่านั้น ไม่สามารถ Download ได้
Leecher เรียกง่ายๆ ว่า ผู้โหลดมีหน้าที่ดูดอย่างเดียว พร้อมกันนั้นทำหน้าที่แจกไฟล์ที่โหลดมาเสร็จแล้วบางส่วน
ไปในตัวด้วยซึ่งTorrent จะทำหน้าที่ในการแยกไฟล์ใหญ่ๆ ไฟล์หนึ่งออกเป็นหลายๆชิ้นด้วยกันเรียกได้ว่า Pieces
 ขณะที่คุณกำลัง Upload หรือ เป็นคนseeder คนแรก ไม่ควร Leech ไฟล์อื่นๆ ควรจะรอให้คนอื่นๆสามารถ
Download จากคุณได้ครบ 100% ซะก่อน หรือ มีผู้อื่นขยับฐานะจาก Leechers เป็น seeders ช่วยคุณก่อน
แล้วจึงเริ่ม Download ไฟล์อื่นที่ต้องการ
ขณะที่คุณทำหน้าที่เป็น Seeder นั้น คุณควรแจกไฟล์ หรือ ทำหน้าที่เป็น ผู้แจก ที่ดีให้ในปริมาณที่เท่าๆ
กับที่คุณโหลด (Leech) มาจากคนอื่นๆ เช่น หากคุณโหลดมา 700MB คุณควรจะเปิดค้างไว้
ปล่อยให้ทำการ Seed ต่อไปจนถึง 700MB เท่าๆ กับที่คุณโหลดมา ถ้าแจกได้เท่ากับที่โหลดมาก็จะถือว่า
เป็นอัตราส่วน = 100%

Ratio คืออะไร
Raito คือ ค่า Upload หาร Download = Ratio
เช่น หากค่า Upload ของคุณมีค่า 700 MB ค่า Download ของคุณมีค่า 900 MBให้นำ 700 หาร 900
จะได้ Raito = 0.875 (หรือ 87.5%)นั่นคือคุณมีแต้มทั้งหมด 0.875 แต้ม เพื่อใช้ในการ Download
ตามเงื่อนไขของ Trackerที่ต้องมี Ratio ก็เพื่อป้องกันการดูดอย่างเดียวไม่ยอมปล่อยให้คนอื่น

ถ้ามีคนดูดมากๆ ก็จะคล้าย P2P แบบเดิมคือมีแต่คนดูด ไม่มีคนปล่อย ทำให้โหลดไฟล์กันได้ช้ามากๆ
ส่วนมาก Tracker จะกำหนดต้องมี Ratio มากกว่า 0.3-0.5 ถึงจะสามารถโหลดไฟล์ใหม่ได้
Ratio ที่ดีคือ 1 หรือใกล้เคียง หมายความว่าคุณโหลดไฟล์มาเท่าไหร่ ก็ส่งต่อให้คนอื่นเท่านั้น

เทคนิคการดาวโหลด
ครั้งแรกในการสมัครจะมี Raito = 0.00 เราควรเลือกไฟล์ที่มีผู้ Leech เยอะๆ หรือ นิยมๆ เพื่อให้เราสามารถ share
ไฟล์ที่เรากำลังโหลดอยู่ให้คนอื่นๆ ไปด้วยในตัว เพราะระบบของ Torrent แล้ว ในระหว่างการDownload
สามารถ Upload ไปพร้อมๆ กันได้ ทำให้เราได้ Raito สะสมได้อีกทางหนึ่ง
 ดูว่าไฟล์ไหนน่าจะมีคนโหลดมากๆ แล้วรีบเข้าไปโหลดเป็นคนแรกๆ ถึงไฟล์นั้นเราจะไม่ต้องการ
หาไฟล์เพื่อทำการ Upload เพื่อเป็นการเพิ่ม Ratio ของเราได้ และ ขณะที่คุณกำลัง Upload หรือเป็นคน seed
คนแรก ไม่ควร Leech ไฟล์อื่นๆ ควรจะรอให้คนอื่นๆ สามารถ Download จากคุณได้ครบ 100% ซะก่อน
นอกจาก มีผู้อื่นขยับฐานะจาก Leechers เป็น seeders ช่วยคุณก่อน แล้วจึงเริ่ม Download ไฟล์อื่นที่ต้องการ


สำหรับโปรแกรม BitTorrent Client นั้นเป็นของที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่ชอบดูดอย่างเราๆท่านๆ
เพื่อโหลดเพลง หนัง โปรแกรม และหลายๆอย่าง แต่มี ตัวไหน อะไรบ้าง เราลองมาดูกันครับ

BitTorrent
http://www.bittorrent.com/
เป็น Torrent Client ต้นตำหรับที่พัฒนาโดยบิดา Bit Mr.Bram Cohen นักคอมชาวอเมริกัน
โดยใช้เวลาถึง 2 ปีในการทำ เพื่อแก้ปัญหาการดาวน์โหลดแบบปกติ BitTorrent เปิดตัวครั้งแรกช่วงปี 2002
ในงาน CodeCon 2002
BitTorrent: เป็นโปรแกรมต้นฉบับของโปรแกรม Bit ทุกๆโปรแกรมดังนั้นคุณภาพจึงหายห่วง
แต่อาจจะใช้ยากไปนิด แต่ลองๆแล้วไม่ยากเท่าไรออกจะสะดวกอีกต่างหาก และไม่กินเสเปคเครื่องเท่าไรนัก
แต่อาจจะไม่มีออฟชั่นเหมือนโปรแกรมรุ่นใหม่ๆ แต่มีข้อแข๊งคือค่อนข้างเที่ยงตรงแม่นยำ
สมกับเป็นต้นฉบับ

Bitlord
http://www.bitlord.com/
bitlord: เป็นโปรแกรมที่มีการทำงานคล้ายๆกับ Bitcomet มีลูกเล่นมายมายระบบใช้งานไม่ยุ่งยากครับ
มีเมนูไทย กินสเปคเครื่องไม่สูงนัก ใครที่คุ้นเคยกับ Bitcomet จะใช้ไม่ยากเลยล่ะ

Bitcomet
http://www.bitcomet.com/
Bitcomet: เป็นโปรแกรมที่โอตาคุไทยนิยมจนเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของนัก Bit ไทยเลยก็ว่าได้
มีจุดเด่นที่กินสเปคเครื่องน้อยระบบจัดการไฟล์ที่ดี สามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลบางส่วนได้
มีเมนูไทย ระบบ Preview สำหรับเลือกดูไฟล์ที่ยังโหลดไม่เสร็จได้
แต่ข้อเสียที่พบตอนนี้นั้นคือเวอชั่น .71 ขึ้นไป  มีปัญหากับหลายๆ TrackerโดยเฉพาะTracker ในไทย
แต่ถ้าท่านโหลดของต่างประเทศเป็นหลักก็ไม่ต้องห่วงครับ ส่วนผมขอบาย

ABC (yet Another BitTorrent Client)
http://www.pingpong-abc.sourceforge.net/
ABC: เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นจากข้อมูลพื้นฐานของ BitTornado จุดเด่นของ ABC คือ รูปแบบใช้งานง่าย
สามารถจักการไฟล์ได้ในหน้าต่างเดียว กินสเปคไม่สูง แต่ไม่รองรับภาษาไทย

BitTonado
http://www.bittnado.com/
BitTonado : โปรแกรมต้นฉบับของ ABC และ หลายตัวต่อจาก BitTorrent มีรูปแบบการทำงานที่เรียบง่าย 
ไม่ยุ่งยาก ความสามารถพิเศษไม่มากนัก การทำงานคล้ายๆ BitTorrent ตัวมาตฐาน


Azureus
http://www.azreus.sourceforge.net/
Azureus: เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษา Java และจัดว่าเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาก
ในต่างประเทศ จุดเด่นคือ มีระบบจัดการไฟล์ที่ดี ระบบติดต่อกับ Tracker ที่แม่นยำสุดๆ
และรองรับภาษาไทยอีกด้วย ใช้งานง่าย ข้อเสียคือ ไม่สามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลบางส่วนได้
และตัวโปรแกรมกินสเปคเครื่องสุดๆ


uTorrent
http://www.utorrent.com/
uTorrent: เป็นโปรแกรมที่ผมถูกใจและใช้อยู่ตอนนี้ ตัวโปรแกรมเป็นแบบหน้าต่างเดียว มีระบบที่ใช้งายง่าย
และอัตโนมัติสุดๆ มีประสิทธิภาพสูงระดับเดียวกับ Bitcomet และ Azureus และได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ
กินทรัพยากรเครื่องน้อยมาก แต่ก่อนไม่รองรับภาษาไทย แต่ตอนนี้รองรับเรียบร้อยแล้ว ออพชั่นต่างๆเข้าใจได้
ไม่ยากนัก และสามารถดาวน์โหลด Skin ใหม่ๆจากเว็บต้นฉบับได้ แต่ต้องเสียตังค์นิดหน่อยนะ

...สำหรับคนที่ติดเน็ต Hispeed แนะนำให้โหลด bit  เพราะจะได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปครับ...

ไฟล์iso คืออะไร

ไฟล์ISO เป็นไฟล์ประเภท image คือเหมือนการโคลนแผ่นซีดี หรือดีวีดีให้อยู่ในรูปแบบไฟล์ๆ เดียว
เป็นการ copy ถ่ายข้อมูลจากแผ่น CD/DVD ออกมาทั้งหมด ไม่ใช่แค่ข้อมูลจากแผ่น CD/DVD เท่านั้น
แต่จะเก็บรายละเอียดข้อมูลของแผ่นในส่วนลึก ในลักษณะของ sector by sector เลยทีเดียว เช่นเวลาเราก๊อปปี้
โปรแกรมวินโดว์เอาไว้ในเครื่องตามปกติ เมื่อเวลาจะใช้เราก็เอามาไรท์ลงแผ่นซีดี แผ่นที่เราไรท์ด้วยวิธีนี้ก็
จะไม่สามารถนำไปบู๊ทเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ถ้าเราเก็บโปรแกรมวินโดว์จากแผ่นซีดีไว้ในเครื่องคอมฯ
ของเราในรูปแบบของไฟล์ ISO ซึ่งจะเป็นไฟล์แค่ไฟล์เดียว เมื่อเราเอาไปไรท์ลงแผ่นซีดี
แผ่นซีดีที่เราเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์อิมเมจนี้ ก็จะสามารถบู้ทเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ตามปกติ
เหมือนกับแผ่นต้นฉบับ


หรือถ้าเป็นไฟล์หนังเช่นหนัง DVD เราสามารถ เลือกsub เลือกฉาก ระบบเสียงที่เป็น 5.1/ 2.1ได้
เหมือนเปิดจากแผ่นแท้เลย ถ้าเป็นคอนเสิร์ตก็เหมือนกัน นี่แหละคือเสน่ห์ของไฟล์ ISO

มารู้จักHDTV

HDTVคือ โทรทัศน์ความละเอียดสูง
มันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ broadcasters
ที่มีความละเอียดมากกว่าการถ่ายทอดสัญญาณในปัจจุบัน  NTSC, SCEM,PAL
แต่ในต่างประเทศมีการใช้ระบบนี้กันอย่าแพร่หลายมากแล้ว
เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, และแถบ ยุโรป
แถวๆบ้านเราก็มีนะครับ มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น
การส่งสัญญาณจะเป็นระบบ Digital ที่ให้ความคมชัดทั้งภาพและเสียง
ดีกว่าที่เราเปิดจากแผ่น DVD เสียอีก แต่ในบ้านเรายังไม่มีการส่งสัญญาณ
ประเภทนี้ออกมาอย่างเป็นทางการเท่าไหร่ที่เห็นจะมีแต่ทาง เคเบิลทีวี
มีส่งออกมาแล้วบ้างแต่กับ ฟรีทีวียังไม่เห็น เพราะการที่จะเปลี่ยนเครื่องส่ง
มาเป็นระบบใหม่เลยนั้น ต้องใช้การลงทุนค่อนข้างสูง
ดังนั้นจึงยังไม่มีใครลงทุนซักเท่าไหร่ ประกอบกับเครื่องรับ TV
ที่รองรับ HDTV จริงๆ นั้นพึ่งจะมาเป็นที่นิยมในบ้านเราไม่นานสักเท่าไหร่
ฉะนั้นก็น่าจะอีกไม่นานที่บ้านเราจะได้รับชม HDTV
กันอย่างเต็มรูปแบบ

มารู้จักกับHDTV หลายๆคนน่าจะรู้จักกับระบบในการส่งสัญญาณภาพ
ที่ใช้ในปัจจุบันกันดีพอสมควร คือ PAL และ NTSC ซึ่งจะใช้กับ TV รุ่นเก่า
การที่เราจะใช้ระบบ HDTV นั้นจำเป็นต้องใช้กับ TV รุ่นใหม่ที่เป็น LCD TV
ที่รองรับ HDTV ด้วย 
    
การทำงานของ HDTV
สัญญาณดิจิตอลที่ส่งมาที่ TV นั้นจะผ่านกระบวนการบีบอัดข้อมูลสัญญาณดิจิตอล
โดย MPEG-2 ทำการถอดรหัส หลังจากนั้นจะถูกส่งไปที่หลอดภาพทำหน้าที่
ยิงลำแสงออกมายังหน้าจอ TV ทำให้เกิด Pixel หรือจุดภาพบนจอภาพ
ในระบบ HDTV นั้นจะให้ Pixel ที่สูงกว่า TV ทั่วไปหลายเท่าเลยทีเดียว
ทำให้ภาพที่ออกมาละเอียดคมชัด ไร้ซึ่งอาการกระพริบของสัญญาณภาพ


                                                TV                                             HDTV
                       

                                      ภาพเปรียบเทียบการสแกนของ TV และ HDTV
 
 
การScanภาพ นั้นแบ่งได้ 2 แบบคือ 1080I และ 1080P
แบบ Interlaced(1080I)  จะทำการแบ่งภาพออกเป็น 2 เฟรม
คือเฟรมที่เป็นเลขคี่และเลขคู่ และจะ scan ภาพสลับกันไปเรื่อยๆ
จนครบ 1080 เส้น จะมีการกระพริบระหว่างการสลับเฟรมคี่และคู่

แบบ Progressives Scan(1080P) จะทำการ scan โดยเรียงไปทีละเส้น
สแกนเรียงกันไปเรื่อยๆจนครบ 1080 เส้น จะทำให้การกระพริบน้อยลง
ภาพที่ได้จะดูนิ่งมากยิ่งขึ้น
การScan ภาพในรูปแบบของ HDTV นี้จะเป็นแบบ wide screen
ที่มีอัตราส่วนของจออยู่ที่ 16:9 ต่างจาก TV รุ่นเก่าจะเป็น NTSC
หรือ PAL อัตราส่วนจะอยู่ที่ 4:3


                                

                                                    อัตราของความละเอียด
                                    • 480p = 338,000 pixels / frame (704 x 480)

                                    • 720p = 922,000 pixels / frame (1280 x 720)

                                    • 1080i = 1,037,000 pixels / frame (1920 x 1080)

                                    • 1080p = 2,074,000 pixels / frame (1920 x 1080)

                                                     P = Progressive
                                                     I = Interlace

 การเลือกซื้อ HDTV จริงๆแล้วระบบ HDTV ยังไม่มีใครส่งสัญญาณแบบนี้
อย่างเต็มรูปแบบซักเท่าไหร่ แต่ TV ที่รองรับเทคโนโลยีใหม่นี้ที่เห็นชัดๆเลย
จะมีอยู่ 3 ประเภทคือ Plasma TV, LCD TV, และ LCD Monitor
อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคว่าชอบภาพแบบไหน
ในการเลือกซื้อนอกจากเรื่องภาพ และความชอบแล้วเรื่องงบประมาณก็สำคัญ

อันนี้แน่นอนว่าจะต้องมีงบประมาณในใจไว้ก่อนว่าเท่าไหร่
เพราะยิ่งขนาดใหญ่ยิ่งแพง นึกก่อนว่าเราซื้อมาแล้วจะไปวางที่ไหน
ในห้องนอนหรือห้องรับแขกขนาดห้องเท่าไหร่จะได้เลือกถูกว่าคุณจะเอา
จอขนาดเท่าไหร่กี่นิ้ว ความละเอียดมากน้อย

ให้แน่ใจว่ามี port เชื่อมต่อสัญญาณครบตามความต้องการทุกประเภท เช่น
Component / DVI/ HDMI สำหรับ HDMI นั้นควรจะมีอย่างน้อย 2 ช่องและรองรับ
ระบบ HDCP ด้วยจะได้ไม่มีปัญหาภายหลังเพราะ HDCP
จะเป็นมาตรฐานใหม่ที่เข้ารหัสป้องกันลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสัญญาณภาพ
และ เครื่องเล่นทีทำออกมารองรับ HDTV ไม่ว่าจะเป็น HD-DVD,
Blue Ray, XBOX 360, และ PS3


ดูค่า Native Resolution ด้วยว่ารองรับสูงสุดที่เท่าไหร่
ซึ่งส่วนใหญ่จะ 720p ขึ้นไปสัญญาณที่เข้ามาจะถูกปรับขึ้นหรือลง
เพื่อให้เข้ากันกับค่า Native Resolution ของตัวเครื่อง
อย่างเช่นเครื่อง XBOX 360 และ PS3 จะมีการส่งสัญญาณแบบ 720p
ทำให้ไม่จำเป็นที่ทีวีที่มีค่า Native Resolution 720p ต้องปรับเปลี่ยนอีก
แต่ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าที่ส่งสัญญาณแบบ 480p, 480i
ต้องทำการปรับเพื่อให้เกิดความเข้ากันได้ขอสัญญาณ
หรือถ้าทีวีมีตัวประมวลผล ก็ดีหน่อยจะปรับให้อัตโนมัติ


และค่า Response Time ซึ่งเป็นค่าการตอบสนองกับภาพเคลื่อนไหว
ถ้าค่านี้มากเกินไปอาจทำให้เห็นภาพออกมาเบลอได้
ในขณะที่ภาพเคลื่อนไหว สรุปค่ายิ่งน้อยยิ่งดีซึ่งตอนนี้เห็นต่ำสุดจะอยู่ที่ 8ms

ข้อควรระวังในการเลือกซื้อHDTV จริงๆแล้วอย่าให้โฆษณามาหลอกท่านได้
เห็นได้จากโลโก้ที่มีให้เห็นอยู่มากบนทีวีเช่น HD Ready, HD Compatible, HDTV
ซึ่งจะทำให้ท่านเข้าใจผิดและสับสนเพราะบางครั้ง จะเจอโลโก้ที่เป็น HD
เราคิดว่าเป็น HD แต่พอไปดูใน Spec จริงๆเป็น HD 480i ฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ
ควรดู spec ให้ชัดเจนก่อนเลือกซื้อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง........



วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มีอะไรใหม่ใน Windows 7

Windows 7 ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ทั่วโลกมากพอสมควร
ด้วยเหตุผลสำคัญก็คือมันใช้งานง่ายกว่าเดิมทำงานได้เร็วขึ้น อีกทั้งคุณสมบัติการทำงานใหม่ๆของโอเอสรุ่นนี้
ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยเมื่อเทียบกับ Vista เพื่อเป็นการต้อนรับระบบปฏิบัติการ Windows 7 เรามาทำความรู้จักกับคุณสมบัติที่ทำให้หลายๆ คนชื่นชอบ Windows 7 กันดีกว่า

1. ไร้กังวลเรื่องไดรเวอร์ไม่ครบหลังจากติดตั้ง Windows 7
ผู้ใช้จะพบว่าพวกเขาไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ของฮาร์ดแวร์เพิ่มแต่อย่างใดเนื่องจากไดรเวอร์แทบทุกตัว
ได้ถูกรวมไว้ในระบบปฏิบัติการแล้วและในกรณีที่คุณจำเป็นต้องอัพเดตไดรเวอร์ผู้ใช้ก็จะสามารถทำได้ทันที
โดยไม่สับสนกับ Windows Update อีกต่อไป ผู้ใช้Windows 7 ส่วนใหญ่รู้สึกแฮปปี้ที่ไม่ค่อยได้เห็น
ไอคอนประหลาดๆ คอยแจ้งว่าฮาร์ดแวร์ขัดแย้งการทำงานกับไดรเวอร์ในหน้าต่าง Device Manager

2. บันทึกปัญหาที่เกิดขึ้นส่งให้เซียนช่วยวินิจฉัยได้คุณสมบัติข้อนี้น่าสนใจมาก เพราะมันสามารถช่วยคุณบันทึก
ปัญหาที่พบในWindows 7 ได้ ซึ่งหากแก้ไขด้วยตัวเองไม่เป็นผู้ใช้ก็สามารถส่งไฟล์บันทึกปัญหาที่เกิดขึ้น
ไปให้ใครที่มีประสบการณ์มากกว่าช่วยแก้ให้ได้อีกด้วย โดยสิ่งที่ผู้ใช้ต้องทำคือ เปิดโปรแกรมProblem Steps Recorder แล้วคลิกปุ่ม Recordหลังจากนั้นหน้าจอจะถูกเก็บ(capture)ทุกๆ ครั้งที่คลิกเมาส์ซึ่งผู้ใช้สามารถแทรกคอมเมนต์ปัญหาที่พบเข้าไปได้ด้วยโดยรูปแบบของเอกสารที่สร้างขึนจะเป็นไฟล์ HTMLพร้อมภาพหน้าจอ
ขั้นตอนที่เกิดปัญหาและคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์เข้าไปไฟล์ทั้งหมดจะถูกบีบอัดเป็นไฟล์ ZIP ไว้บนเดส์ทอป
เพื่อแนบส่งไปกับอีเมล์ให้ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที

3. ปักหมุดโปรแกรมใช้บ่อยได้ทั้งในเมนู Start และ Taskbarในขณะที่ไม่มี Quick Launch Bar
ที่ให้ความสะดวกสบายกับผู้ใช้ใน WindowsXP ผู้ใช้ Windows 7 สามารถ "Pin" รายการ และโปรแกรมที่ใช้บ่อย
ไว้บนเมนูStart ได้เช่นเดียวกับบน Taskbar ซึ่งวิธีการก็ง่ายมากเพียงแค่คลิกขวารายการบน Taskbar แล้วเลือกคำสั่ง "Pin to Start Menu"หรือ "Pin to Taskbar" เท่านี้รายการ หรือโปรแกรมนั้นๆ ก็จะปรากฎเพื่อรอพร้อมเรียกใช้งาน
ได้ทันที


4. ระบบสัมผัสหน้าจอที่ใช้ง่ายคำว่า "Touch" เป็นคุณสมบัติใหม่ของส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface)
ในระบบปฏิบัติการ Windows 7 ซึ่งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆที่สนับสนุนโอเอสตัวนี้หลายรุ่นทีเดียวจะมาพร้อมกับ
หน้าจอระบบสัมผัสทำให้ผู้ใชสามารถใช้งานโอเอส และแอพพลิเคชันต่างๆได้ด้วยการใช้นิ้วสัมผัสโดยตรง
แทนการใช้เมาส์และด้วยไอคอนบนทาสก์บาร์ทีมีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้สัมผัสด้วยนิ้วของผู้ใช้ได้ง่ายขึ้นนอีก
ด้วยซึ่งประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วยระบบสัมผัสจะทำให้ผู้ใช้ได้รับความสนุกสนาน
และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

5. เขียนแผ่นง่ายภายในคลิกเดียวผู้ใช้สามารถดับเบิ้ลคลิ้กไฟล์ ISO image เพื่อเรียกโปรแกรม
Windows DiscImage Burner แล้วเลือกไดร์ฟที่ต้องการให้เขี่ยนแผ่น ในกรณีที่พีซีของคุณมี burner หลายตัว และเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าการเขียนแผ่นสมบูรณ์ก็เพียงแค่เช็คบ๊อกซ์หน้าข้อความ "verify disc afterburning"



6. การแสดงพรีวิวหน้าต่างแอพฯที่โดดเด่นในวิสต้าคุณสามารถพรีวิวหน้าต่างของแอพพลิเคชันต่างๆ
บนทาสก์บาร์ได้ด้วยการเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปบนนั้น แต่ใน Windows 7ไม่เพียงแต่แสดงพรีวิวหน้าต่างเล็กๆ
ให้ดูได้เท่านั้นแต่คุณยังสามารถดูหน้าต่างเต็มๆบนโฟร์กราวด์ได้อย่างง่ายดายด้วยการเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปบนพรีวิวขนาดเล็ก แถมยังสามารถปิดโปรแกรมผ่านหน้าต่างพรีวิวด้วยการคลิกบนเครื่องหมาย x ที่อยู่มุมบนขวา
ได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถเลื่อนดูพรีวิวของโปรแกรมแต่ละตัวบนทาสก์บาร์ได้ด้วยการกดปุ่มWin+T
ได้อีกต่างหาก เจ๋งดีไหมละครับ


7. Virtual Windows XPสำหรับผู้ใช้ที่ยังคงคิดถึง XP (แต่อยากลืม Vista) ก็สามารถเรียกใช้ XPMode
บน Windows 7 ได้ โดยหลังจากที่ดาวน์โหลดมาติดตั้งเข้าไปแล้วผู้ใช้จะสามารถเรียกใช้แอพพลิเคชัน
WindowsXPจากภายในเวอร์ชวลแมชีนได้ทันที โดยคุณไม่ต้องออกไปเปิด shell ใหม่จากWindows XP


8.โปรแกรมต่อมาเลยที่วินโดวส์เจ็ดอยากอวด นั่นก็คือ Windows MediaPlayer12ที่สามารถดูไฟล์วิดิโอ
อย่างพวกสกุล .mpeg4 , AVI , DivX ,H.264 โดยไม่ต้องลง Codec เพิ่มเติม และยังสามารถปรับเป็นโหมด
Mini Modeหรือ Now Playing Mode และสามารถสตรีมมิ่งไฟล์มัลติมีเดียเพียงแค่ไปที่เมนู Stream และเลือกว่า
จะเชื่อมต่อแบบไหน และยังมีฟีเจอร์Device Stage ที่เอาไว้จัดการอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ อย่าง MP3 อีกด้วย
และก็ยังสามารถเบิร์นซีดีเพลงจากไฟล์ในเครื่องได้เลย โดยคลิกที่แท็บเบิร์นและก็ลากไฟล์เพลงที่จะเบิร์นจากหน้าต่างซ้ายมาหน้าต่างขวาแล้วสั่งเบิร์นได้เลย

9.โปรแกรมที่แสดงศักยภาพของ Peek ได้ดีที่สุดคือ IE8 ครับ โดยจะแสดงรีวิวของแท็บ (ไม่ใช่หน้าต่าง) ใน Peek


ตามตัวอย่างในภาพนี้ ผมเปิด IE8 อยู่เพียงหน้าต่างเดียว แต่ในหน้าต่างนั้นมี 2 แท็บ ซึ่งเวลาเอาเมาส์ไปชี้ที่ไอคอนของ IE8 มันกลับจะแสดงรีวิวของเว็บเพจทั้งหมดที่เปิดอยู่  ต่างจาก Firefox ที่จะแสดงรีวิวของหน้าต่างเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าหน้าต่างมีกี่แท็บฟีเจอร์นี้ของ IE8 นับว่ามีประโยชน์มาก เพราะจะเป็นการลดความสับสนของการสลับงานตามหน้าต่าง กับการสลับแท็บ  มารวมเป็นการสลับงานทั้งหมดด้วย Peek เพียงที่เดียว

นอกจากการ Peek ดูหน้าต่างของโปรแกรมแล้ว เรายังสามารถ peek เพื่อดูเดสก์ท็อปได้โดยการเอาเมาส์ไปวางไว้บนสี่เหลี่ยมว่างๆ ด้านขวาสุดของ Taskbar ก็จะเป็นการ “แอบดู” เดสก์ท็อป พฤติกรรมจะคล้ายๆ กับ Expose ของแมค แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือปุ่ม Show Desktop เดิม ซึ่งน่าจะพอนึกภาพออกว่าถ้าผมกดปุ่มใสๆ นี้ก็จะเป็นการย่อหน้าต่างทุกอันลงไปแบบถาวร ไม่ใช่การ peek อีกแล้ว

ทั้งหมดเป็นแค่คุณสมบัติการทำงานบางส่วนเท่านั้น เป็นงัยบ้างครับเมื่อได้อ่านบทความแล้ว
ผมว่า น่าลองจริงๆครับ..

ทีมา  http://www.arip.co.th/news.php?id=410201

USB3.0 ความแรงใหม่ในการถ่ายโอนข้อมูล

ยุคUSB3.0 ความแรงใหม่ในการถ่ายโอนข้อมูลที่การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็วนั้นเทคโน
โลยีที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วในปี 2000 นั้นทาง intel กำลังผลักดันให้Pentium III ของตน
ให้เป็นที่นิยมในตลาด 3dfx ยังคงเป็นจ้าวของวงการกราฟฟิคและ windows xp
ก็กำลังจะใกล้คลอด และหลายๆสิ่งก็ได้เปลี่ยนไป
ในปีเดียวกันนี้นั้นเมื่อทั่วโลกก็ได้รู้จักกับ USB 2.0ที่มีการส่งข้อมูลเร็วขึ้นมากกว่าusbดั้งเดิม


แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อปัจจุบันผู้ใช้งานทั่วไปนั้นมีความต้องการในการรับส่งข้อมูล
ที่มีปริมาณมากมายมหาศาลมากกว่าเดิม และ USB 2.0นั้นจึงไม่น่าจะพอกับการถ่ายโอนข้อมูล
ดังนั้นในอนาคต USB3.0 จึงน่าจะมาแทนที่ USB2.0ได้เป็นอย่างดี

ตอนนี้กระแสการตอบรับของเทคโนโลยี USB 3.0 หรือ Super Speed USB กำลังมาแรง
และในปีนี้คุณจะได้เห็น USB 3.0 วางขายในท้องตลาด หลังจากที่รอมานาน คุณคงเคยสัมผัสกับ
USB 1.1 และ USB 2.0 มานานอุปกรณ์เหล่านี้ที่คุณมีอยู่ และใช้อยู่ทุกวัน สามารถนำไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยี
USB 3.0 ได้โดยที่ไม่ต้องดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น แต่ความเร็วของ USB 2.0 ก็ยังคงมีความเร็วเท่าเดิม 480 Mbps/s
ขณะที่บริษัทใหญ่หลายบริษัทกำลังผลิตอุปกรณ์ Hard Ware ที่มารองรับกับเทคโนโลยี USB 3.0 อย่างเช่น Flash Drive , Box HDD External ที่ใช้เทคโนโลยี USB 3.0 ในการเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ และ โน๊ตบุก



จากภาพจะเห็นได้ว่าลักษณะของ USB 3.0 มีลักษณะเหมือนกับ USB 2.0 ทุกประการแต่ที่แตกต่างไปคือ
โครงสร้างภายในของสายส่งสัญญาณได้ทำการแยกสายส่งข้อมูลกับสายรับข้อมูลไว้คนละเส้นกัน
อีกทั้งได้ปรับปรุงเรื่องกระแสไฟฟ้าภายในพอร์ต USB ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ USB 3.0 สามารถรับส่งข้อมูล
ได้ถึง 4.8Gbps ต่อวินาที



กราฟที่คุณเห็นนี้เป็นการ Test HDD External ยี่ห้อ BUFFALO 1TB โดย Test ทั้ง USB 3.0 และ USB 2.0 จะเห็นความแตกต่างของเทคโนโลยีทั้ง 2 ตัวนี้อย่างชัดเจน แน่นอนว่า USB 2.0 มีความเร็วที่ช้ากว่า USB 3.0 ประมาณ 10 เท่าตัว โดย USB 3.0 สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วถึง 186.3 MB/s ขณะที่ USB 2.0 สามารถอ่านข้อมูลได้เพียง 37.5 MB/S ความเร็วของ USB 3.0 เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในเวลานี้

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

WiMAX คลื่นลูกใหม่แห่งโลกการสื่อสาร

WiMAXคืออะไร
WiMAX เทคโนโลยีบนบรอดแบนด์แบบไร้สาย
ซึ่งคาดว่าจะถูกนำมาให้ใช้กันทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งปัจจุบันประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย
ได้มีการลงทุนริเริ่มกันไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับประเทศไทยได้มีการทดลองติดตั้งบางส่วน
ในหลายจังหวัด อาทิ นครราชสีมา ขอนแก่น หาดใหญ่ เชียงใหม่ เป็นต้น
โดยแต่เดิมเราจะใช้บรอดแบนด์แบบมีสายเชื่อมต่อเข้าหากันผ่านทางสาย Lan หรือแบบไร้สาย
ในระยะใกล้ๆเท่านั้น แต่เทคโนโลยีที่มีอยู่บน WiMAX จะสามารถสร้างเครือข่ายแบบไร้สาย
แบบหนึ่งจุดเชื่อมต่อไปยังอีกหลายจุดได้ อีกทั้งยังสามารถทำงานในระยะรัศมี
ที่ไกลๆออกไปเป็นกิโลๆเสมือนเป็น Hot Spot ขนาดใหญ่เลยที่เดียว


 WiMAX บรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูงนี้ถูกพัฒนาขึ้น
บนมาตราฐานการสื่อสาร IEEE802.16 ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนามาอยู่บนมาตราฐาน IEEE802.16a
โดยได้มีการอนุมัติออกมาเมื่อเดือนมกราคม 2004 โดยสถาบันวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
หรือ IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) ซึ่งมีระยะรัศมีทำการที่ 31 ไมล์
หรือประมาณ 48 กิโลเมตร นั่นก็หมายความว่า WiMAX จะสามารถทำงานได้ครอบคลุมพื้นที่
กว้างกว่าระบบโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่บนระบบ 3G มากถึง 10 เท่า
พร้อมยังมีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นมัลติมีเดียที่มีทั้งภาพและเสียง
หรือจะเป็นข้อมูลล้วนๆก็ตามได้สูงสุดถึง 75 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps)
ซึ่งก็เร็วกว่าระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ 3G มากถึง 30 เท่าเลยที่เดียว
โดยมาตราฐาน IEEE 802.16a หรือ WiMAX
มีความสามารถในการส่งกระจายสัญญาณในลักษณะจากจุดเดียวไปยังหลายจุด (Point-to-multipoint)
ได้พร้อมๆกัน โดยมีความสามารถรองรับการทำงานในแบบ Non-Line-of-Sight ได้
สามารถทำงานได้แม้กระทั่งมีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ หรือ อาคารได้เป็นอย่างดี
ส่งผลให้WiMAX สามารถช่วยให้ผู้ที่ใช้งาน สามารถขยายเครือข่ายเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
ได้กว้างขวางด้วยรัศมีทำการถึง 31 ไมล์ หรือประมาณ 48 กิโลเมตร และมีอัตราความเร็ว
ในการรับส่งข้อมูลสูงสุดถึง 75 Mbps มาตราฐาน IEEE 802.16a นี้ใช้งานอยู่บนคลื่นไมโครเวฟ
ที่มีความถี่ระหว่าง 2-11 กิกะเฮิรตซ์ (GHz) และยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มาตราฐานชนิดอื่นๆ
ที่ออกมาก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี

การโหลดหนัง

โหลด หรือ ดาวโหลด วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการดาวโหลด สำหรับมือใหม่นะครับ
ดาวโหลดคือ การดึงไฟล์จากที่อื่นมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของเรา พูดง่ายๆก็คือการโหลดไฟล์
จากinternet มาเก็บไว้ในเครื่องเรานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการ โหลดเพลง โหลดหนัง
โหลดภาพ โหลดคลิป เป็นต้น ซึ่งการดาวโหลดจะคล้ายๆกันขึ้นอยู่กับเว็บฝากไฟล์ ของแต่ละเว็บ
วันนี้เราจะมาแนะนำการโหลดหนังครับ..คลิกไปที่linkครับ หนังบางเรื่องอาจมีหลายlink
ที่มีหลายpartเพราะเพื่อความรวดเร็วในการดาวโหลด หรือเป็นเพราะเว็บฝากไฟล์
จำกัดความจุในการอัพไฟล์






1. เราเข้าไปที่เว็บให้บริการโหลดหนัง คลิกไปที่รายชื่อหนังที่เราต้องการโหลด บางเว็บอาจ
ให้เราสมัครสมาชิกก่อน หรือให้เราแสดงความเห็นก่อนถึงจะเห็นlinkครับ..








2.คลิกไปที่ Link ต้องโหลดให้ครบทุก part ถึงจะรวมไฟล์ได้นะครับ
อันนี้จะเห็นว่ามีอยู่ สามเว็บฝากไฟล์ให้เราเลือกโหลดเว็บไหนก็ได้ครับ ผมเลือกเว็บ mediafire
โหลดเร็วดีครับ








3.พอคลิกเสร็จจะเข้าไปยังเว็บฝากไฟล์ มองหาlinkซึ่งตรงนี้แต่ละเว็บ
จะไม่เหมือนกัน บางเว็บอาจหายากหน่อย แล้วคลิก..








4.จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราsave คลิกsave






5.เลือกที่เก็บไฟล์ แล้วกด Save








6.แถบบอกสถานะว่าโหลดได้กีเปอร์เซ็นต์
7.จำนวนความจุของไฟล์
8.ถ้าต้องการให้เมื่อโหลดเสร็จแล้วปิดหน้าต่างอัตโนมัติให้ติ๊กตรงสี่เหลี่ยม
เราต้องดาวโหลดให้ครบทุกpart แล้วใช้โปรแกรม winrar รวมไฟล์ ถึงจะดูได้
ซึ่งการรวมไฟล์ และเทคนิคโหลดไม่ครบทุกpartก็ดูได้
จะมาเขียนในบทความต่อไปครับ...

วิธีโหลดทีเดียวหลายๆpart

การดาวน์โหลดไฟล์ที่เรากำลังพูดถึงนี้คือการดาวน์โหลดไฟล์หลาย ๆ ไฟล์หรือหลาย ๆ part
จากเว็บไซด์ฝากไฟล์ต่าง ๆ อาทิเช่น Megaupload, Rapidshare, และ Mediafire เป็นต้น จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเว็บไซด์ประเภทฝากไฟล์นี้เกิดขึ้นอย่างมากมาย


หลาย ๆ ครั้งการดาวน์โหลดไฟล์ จะเห็นว่าผู้ upload จะทำการแยกดาวน์โหลดหลายไฟล์ด้วยกัน
อ่านวิธีการแบ่งไฟล์คลิ๊กที่นี่ซึ่งไฟล์ต่าง ๆ ถูกแยกออกเป็นหลาย ๆ part
เพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น และป้องกัน error ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นถ้าคุณดาวน์โหลดไฟล์
ที่ไม่ถูกแบ่ง part แล้วขณะกำลัง download เกิด error ทำให้ต้องนั่งดาวน์โหลดกันใหม่ตั้งแต่ต้น
ก็คงเป็นเรื่องที่เซ็งใช่เล่นเหมือนกัน แต่ว่าการทยอยดาวน์โหลดทีละ part ของไฟล์ก็เป็นเรื่อง
ที่ต้องข่มใจทนไม่ใช่เล่น จะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีโปรแกรมซักตัวที่สามารถช่วยเราให้ดาวน์โหลดทุก ๆ part ของไฟล์ได้ในคราวเดียว…คำตอบคือมีครับ

Mipony เป็นโปรแกรมประเภท downloader ที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้หลาย ๆ ตัวโดยอัตโนมัติ
ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับเว็บไซต์ฝากไฟล์ Megaupload, Rapidshare, 4Shared, Mediafire และอื่น ๆ
อีกมากมาย คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด Mipony

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าโดยปกติไฟล์ใหญ่ ๆ มักจะถูกแบ่งเป็นหลาย ๆ part
และสิ่งที่คุณต้องทำก็คือทยอยดาวน์โหลด part ต่าง ๆ ของไฟล์จนกว่าจะครบ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญการทำแบบนี้อาจทำให้เสียเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
ในกรณีที่ไฟล์มีหลาย part มาก ๆ และขนาดค่อนข้างใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นคุณอาจไปเจอเว็บไซต์ฝากไฟล์ที่ limit จำนวนหรือขนาดไฟล์ที่คุณสามารถดาวน์โหลดได้ในแต่ละวัน เจอแบบนี้ก็เบื่อไปเลยจริงมั้ยครับ

Mipony เป็นโปรแกรมที่มาช่วยชีวิตเราไว้โดยแท้ ซึ่งทำให้คุณไม่ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ
เพื่อทยอยดาวน์โหลดไฟล์ทีละ part อีกต่อไป ซึ่งโปรแกรมตัวนี้สามารถเป็น build-in ของ browser
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาดูภาพจริงกันเลยดีกว่าครับ

 เมื่อหน้าต่าง set up ปรากฎขึ้นมาให้คลิ๊ก next ไปเรื่อย ๆ เพื่อเริ่มต้นการลงโปรแกรม




ในหน้าข้างบนถ้าคุณไม่อยากให้โปรแกรมตั้งเว็บไซต์ของ Mipony เป็นหน้า homepage
บน browser ของคุณก็ให้เอาเครื่องหมายติ๊กถูกออก แต่ให้ติ๊กถูกตรงที่เขียนว่า “Install Mipony plugin”
ไว้เหมือนเดิมเพราะระบบจะได้ลงโปรแกรม plugin เพื่อให้คุณสามารถ
ใช้งานโปรแกรมผ่านจากหน้า browser ได้โดยตรง
จากนั้นคลิ๊กที่ปุ่ม “install” เพื่อเริ่มการ installation

หลังจากที่ลงโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมาจะมีหน้าตาดังภาพข้างล่าง


ซึ่งตัวโปรแกรม Mipony เองสามารถใช้งานเป็น browser ในตัวได้ คุณสามารถเปิดเว็บไซต์ฝากไฟล์
   ผ่านตัวโปรแกรมแล้วเลือกดาวน์โหลดไฟล์ต่าง ๆ พร้อมกันได้ผ่านหน้านี้ นอกจากนี้ที่ตัว browser หลักของคุณก็จะมีการติดตั้ง plugin ตามที่เราเลือก option ไว้ตอนที่ลงโปรแกรม 

                  

รูปข้างบนแสดงการแจ้งเตือนการลง Minpony plugin บน firefox ซึ่งคุณจะต้องคลิ๊กที่ปุ่ม
“ติดตั้งเดี๋ยวนี้” เพื่อยืนยันการติดตั้ง plugin ตัวนี้บน Firefox

                                           

ถ้าคุณใช้ Internet Explorer เมื่อเปิดขึ้นมาจะเห็นว่ามี Mipony toolbar ปรากฎขึ้นมาให้ใช้งานโดย
ไม่ต้องยืนยันการติดตั้งเหมือน Firefox จากนั้นเมื่อคุณไปที่เว็บไซต์ฝากไฟล์ต่าง ๆ
แล้วเลือกดาวน์โหลดไฟล์ จะสามารถทำได้ทีละหลาย ๆ


เมื่อดาวน์โหลด part ต่าง ๆ มาเรียบร้อยแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะรวมไฟล์เข้าด้วยกัน

Credit :http://mornor.com/

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การปิด Autoplay

การปิดการทำงานของ Autoplay
วิธีการนี้เป็นเพียงวิธีการป้องกันไม่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัสโดยอัตโนมัติ
เมื่อทำการต่อไดร์ฟเก็บข้อมูล แบบพกพากับเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ไม่สามารถป้องกันไวรัสด้วยการRunโดย วิธีการอื่นๆ
เช่น การเปิดไดร์ฟเก็บข้อมูลแบบพกพาด้วยการดับเบิลคลิก หรือการรันไฟล์ไวรัส
แบบแมนวลและที่สำคัญวิธีการนี้ไม่ได้ทดแทนโปรแกรมป้องกันไวรัส

ในปัจจุบันสื่อเก็บข้อมูลแบบ USB Flash Drive นั้น เป็นที่นิยมใช้งานกันอย่างกว้างขวาง
เนื่องจาก ราคาที่ไม่แพงและการใช้งานก็สะดวก แต่ว่าในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมานั้น
มีไวรัสหลายตัวที่ ใช้วิธีการแพรระบาดผ่านทาง USB Flash Drive
ประเด็นหรือต้นเหตุของปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ ที่ตัว Flash Drive เอง แต่เกิดจาก
ฟังค์ชัน AutoPlay ซึ่งจะทำหน้าที่เปิดแผ่น CD หรือไดรฟ์ USB โดยอัตโนมัติ

Autoplay นั้นมีประโยชน์ในแง่ของการช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้
โดยการเปิดไฟล์ มัลติมีเดียที่จัดเก็บอยู่บนสื่อแบบพกพาต่างๆ
เช่น Flash drive หรือ แผ่น CD ให้อัตโนมัติ นั้นคือ เมื่อเราทำการต่อ flash drive
หรือใส่แผน CD ระบบก็จะทำงานตามที่เราตั้งค่าไว้ เช่น หากทำการ
กำหนดให้เล่นไฟล์ประเภท mp3 โดยอัตโนมัติด้วยโปรแกรม Windows Media Palyer
ดังนั้นเมื่อ เราใส่แผ่น CD ที่เก็บไฟล์ mp3 อยู่ระบบก็จะทำการเปิดไฟล์ดังกล่าว
ด้วย Windows Media Palyer เป็นต้น


ในกรณีที่ แผ่น CD หรือ Flash Drive มีไฟล์ Autorun.inf เก็บอยู่นอกสุดของโครงสร้าง
เช่น F:\Autorun.inf และ Autoplay ของไดรฟ์นั้นเปิดอยู่ เมื่อเราใส่แผ่น CD หรือ
ทำการต่อ flash drive ระบบก็จะทำงานตามคำสั่งในไฟล์ Autorun.inf โดยอัตโนมัติ
ซึ่งข้อนี้เองที่เป็นช่องโหว่ที่นักพัฒนา ไวรัสได้นำไปใช้ประโยชน์ในการแพร่กระจายไวรัส
ผ่านทาง flash drive โดยจะทำการสำเนาไฟล์ ไวรัส และ Autorun.inf ลงใน flash drive
และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ทำการเปิด Autoplay บนไดรฟ์ USB ไว้
ดังนั้นเมื่อใครก็ตามทำการต่อ flash drive กับคอมพิวเตอร์เครื่องดังกล่าว
ระบบก็จะทำการ เอ็กซีคิวท์ไฟล์ไวรัสทันที และแน่นอนคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
ก็จะติดไวรัสในทันที

สำหรับวิธีการป้องกัน ไม้ให้ทำการเอ็กซีคิวท์ไฟล์ไวรัสโดยอัตโนมัตินั้น
สามารถทำได้โดยการปิด การใช้งาน Autoplay เพื่อความปลอดภัยสูงสุดขอแนะนำ
ให้ทำการปิด Autoplay บนทุกๆ ไดรฟ์ ซึ่งวิธีการมีดังนี้
 
1. คลิก Start คลิก Run พิมพ์ GPEDIT.MSC เสร็จแล้วกด Enter

ในหน้าต่าง Group Policy Editor ให้คลิกที่ Computer Configuration
จากนั้นคลิกที่ Administrative Templates แล้วคลิกที่ System
ดังรูปที่ 1





2. จากนั้นในด้านขวามือของหน้าต่าง Group Policy Editor ให้คลิกที่ Turn Off Autoplay ดังรูปที่ 2




3. ในหน้า Turn Off Autoplay Properties ให้เลือกตั้งค่าเป็น Enble





4. ในหน้า Turn Off Autoplay Properties ให้เลือกตั้งค่าเป็น Enble
 

5.แล้วเลือก All Drives ดังรูปที่ 3 เสร็จแล้วคลิก O

6.ปิดหน้าต่าง Group Policy Editor
ในตอนนี้จะเป็นการปิดการใช้งาน Autoplay บนทุกๆ ไดรฟ์ และทุกๆ ผู้ใช้
เนื่องจากเป็นการ ตั้งค่าที่ Computer Configuration ซึ่งจะมีผลกับทั้งระบบ
แต่ถ้าหากต้องการปิดการใช้งาน Autoplay เฉพาะผู้ใช้คนใดคนหนึ่ง
ก็ให้เปลี่ยนจาก Computer Configuration ในข้อที่ 2 เป็น User Configuration

 
Credit : Trend Micro Virus Map

9วิธี setความเร็วเน็ตให้แรงสุดๆ

การSetความเร็วเน็ต
วิธีการปรับตั้งดังต่อไปนี้ ไม่น่ามีปัญหาส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อคอมพ์
เว้นแต่เครื่องที่มีแรมน้อยเกินไปเพราะคล้ายกับการเปิดท่อเน็ตที่ถูกปิดไว้บางส่วน
ให้เปิดอ้าซ่าเต็มร้อยจากประสบการณ์ที่ใช้มาหลายเดือน ขอบอกว่าดีมาก ๆ
ดาวน์โหลดสุดยอด แต่อัพโหลดยังไม่ค่อยพอใจ

เหมาะมากกับท่านที่ชอบความเร็ว และการดาวน์โหลด
เช่น โหลดบิท โหลดคลิบ และอื่น ๆตามปกติจะเพิ่มความเร็วประมาณร้อยละ 10-20
แต่กับเน็ตหอหรือวงแลนจะเห็นผลเพิ่มมากมายร้อยละ 50 ขึ้น
ถ้ามีปัญหาอะไร หรือไม่ชอบใจในภายหลัง ก็ปรับตั้งค่าให้กลับไปเหมือนเดิมได้

1.เพิ่มความเร็วในการเล่น Internet โดยมีคำสั่งให้เครื่องไม่ต้องจำกัด Bandwith limit

เป็นวิธีปลดล็อกความเร็วทำให้ Internet ลื่นขึ้นโดยไม่มีพิษภัย
ขั้น ตอนแรก ให้คุณล็อกอินเข้าระบบด้วยบัญชีผู้ใช้เป็น Administrator (อย่าใช้ชื่ออื่น)
บางเครื่องอาจต้องเข้า Safe mode หรือถ้าติดขัดไม่สะดวกอย่างไร
ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อนก็ได้

แล้วไปที่ start> run> พิมพ์ gpedit.msc กด ok  จะปรากฏหน้าต่าง Group Policy ขึ้นมา
กดเครื่องหมาย + ที่หน้า computer configuration> Administrative Templates> network
คลิกเลือกที่ QoS Packet Scheduler ดูกรอบทางขวามือ
ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwith
จะปรากฏหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwith Propoties เลือกแถบ setting
คลิกเลือกที่ช่อง Enable ในกรอบ Bandwith limit(%) ปรับเป็น 0 แล้วกด ok


2. MTU (Maximum Transmission Unit) คือหน่วยกำหนดค่าการรับส่งข้อมูลสูงสุด
ผ่านระบบเครือข่าย ถ้าเราตั้งค่า ให้ค้นหา MTU แบบอัตโนมัติ
จะทำให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ไปที่ Start> run> พิมพ์ regedit แล้วกด Ok ไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE
> SYSTEM> CurrentControlSet> Services> Tcpip> Parameters

คลิกขวาที่ Parameters เลือก new > DWORD Value ตั้งชื่อว่า EnablePMTUDiscovery
แล้วดับเบิ้ลคลิก พิมพ์ค่าเป็น 1แล้วกด ok

3. เพิ่มค่าการรับส่งข้อมูล MTU ให้มากที่สุด ย่อมทำให้ระบบเครือข่าย
มีการรับส่งข้อมูลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไปที่ Start> Run> พิมพ์ regedit แล้วกด Ok จะปรากฏหน้าต่าง Registry Editor ขึ้นมา

ไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE> SYSTEM> CurrentControlSet> Services
> Tcpip> Parameters> interfaces คลิกที่หน้า interfaces จะมีหลายโฟลเดอร์ ใ
ห้คลิกขวาที่โฟลเดอร์แรก >new>DWORD Value>
แล้วตั้งชื่อว่า MTU แล้วดับเบิ้ลคลิกใส่ค่าแทนเลข 0 ดังต่อไปนี้

ถ้าเป็น dial-up Connection ใส่ค่า 576
ถ้าเป็น PPP Broadband Connecting ใส่ค่า 1492
ถ้าเป็น Ethernet , DSL , Cable Broadband Connection ใส่ค่า 1500 (เน็ตส่วนมากจะใช้อันนี้)

4. Clearing NETBT ให้ทำงานไม่ติดขัด เพื่อจะได้กด Repair
เวลา NET หลุดหรือมีปัญหาได้คล่องขึ้น

1. ไปที่ "start" และ "run"
2. พิมพ์ "cmd" แล้วกดปุ่ม enter หรือ ok จะมีหน้า DOS ปรากฏขึ้นมา
3. พิมพ์ "netsh int ip reset c:\logfile.txt" (ควรก๊อปไปใส่เลยดีกว่า) ลงใน DOS แล้วกด Enter

ซึ่งเป็นคำสั่งทำการ Reset ค่า TCP/IP ทั้งหมด
ทำให้การกด Repair ค่า Local Area Connection สามารถ Clearing NETBT ได้ดีกว่าเดิม
ผลพลอยได้คือทำให้ต่อ NET ได้เร็ว ลื่นขึ้น และสะดุดน้อยลง
จากนั้น Restart เครื่อง ก่อนไปทำตามขั้นตอนที่ 5 -9

5. ปรับ Port Settings ตั้งค่า Bits per second และ Recieve Buffer ให้สูงสุด

คลิกขวาที่ My Computer เลือก Properties จะปรากฏหน้าต่างขึ้นมา
ให้คลิกที่แท็ป Hardware แล้วคลิกที่แท็ป Device Manager จะมีหน้าต่างใหม่ขึ้นมา
จากนั้นคลิกที่เครื่องหมาย + หน้า Ports (COM & LPT)
แล้วดับเบิลคลิกเลือก Port ที่โมเด็มเราใช้อยู่ (ปกติมักเป็น Com2 บางคนอาจมีแค่ Com1)
จะมีหน้าต่าง Communications Port Properties ขึ้นมา ให้คลิกที่แท็ป Port Settings

จากนั้นปรับค่า Bits per second จากเดิม 9600 ไปที่ 57600 น่าจะพอดี
ถ้าปรับสูงสุดที่ 128000 แรงก็จริง แต่เน็ตมักหลุดบ่อย
และเลือกส่วนของ Flow Control เป็น Hardware ต่อมาให้คลิกที่ Advanced
แล้วปรับค่า Recieve Buffer ให้มีค่าสูงสุด (High)

6. ลบข้อมูลใน Cache และปรับแต่ง Harddisk

การลบข้อมูลใน Cache โดยเข้าไปที่เว็บบราวเซอร์ของคุณโดยตรง
หรือใช้โปรแกรมช่วยลบ พร้อมลบไฟล์ขยะและรีจิสทรีออกจากเครื่องบ้าง
ประมาณ 7-10 วันต่อครั้ง จะช่วยให้เครื่องเบา และส่งผลให้เน็ตเร็วขึ้น
ขอแนะนำโปรแกรมลบไฟล์ยอดนิยมคือ CCleaner ซึ่งเป็น freeware
ไปดูดที่ http://www.ccleaner.com/

เมื่อลบไฟล์ไม่พึงประสงค์เสร็จแล้ว
ขั้นต่อมาใช้โปรแกรมปรับแต่งซ่อมบำรุงเครื่อง ขอแนะนำ
1. Advanced SystemCare Pro
2. Error Repair Professional
3. WinXP.Manager

ค้นหาและ Download ได้จากในเว็บนี้ ควรใช้ร่วมกันทั้งสามตัวเพราะแต่ละตัว
มีคุณสมบัติเด่นดีไปคนละแบบ
เสร็จแล้วจบด้วยการจัดเรียงข้อมูล ขอแนะนำโปรแกรมยอดนิยมที่เป็น freeware
คือ http://www.defraggler.com/download

ถ้าไม่ชอบใช้โปรแกรมก็เลือกคำสั่ง Scandisk และ Disk Defragmenter
ไปที่ Start> Allprogram > Accessories> System Tools> เลือกข้อย่อยตามต้องการ

7. แก้ไขข้อมูลใน Registry ให้โหลดหน้าเว็บเร็วขึ้น

งานนี้ที่จริงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเร็วของการดาวน์โหลด เพียงแต่จะช่วยให้พีซี
สามารถค้นหาเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น ซึ่งทำให้หน้าเว็บถูกโหลดขึ้นอย่างรวดเร็ว
และการท่องเว็บเร็วอีกนิดย่อมสนุกมากอีกหน่อย

ไปที่ Start >Run พิมพ์ regedit แล้วกด OK ไป ที่ HKEY_LOCAL_MACHINE
> SYSTEM> CurrentControlSet> Services> Tcpip> ServiceProvider
ดูกรอบด้านขวามือให้ดับเบิ้ลคลิกทีละตัว แล้วแก้ไขค่าของตัวแปรทุกตัวข้างล่างนี้
ให้เป็น 1 โดยค่าทั้งหมดที่แก้ไขให้ใช้ชนิดข้อมูลเป็น HEXADECIMAL

Class: 1
DnsPriority: 1
HostsPriority: 1
LocalPriority: 1
NetbtPriority: 1

8. ติดตั้งโปรแกรมช่วยปรับค่าและติด Turbo ให้กับเว็บบราวเซอร์

ขอแนะนำ Internet Turbo แค่ 2.0 MB http://www.clasys.com/iturbo54.exe
เป็นโปรแกรมช่วยในการปรับค่า และเพิ่มความเร็วโดยการตรวจสอบ Configuration
ที่เหมาะสมสำหรับ ISP ของเรา

9. ติดตั้งโปรแกรมช่วยเร่งความเร็วอินเตอร์เน็ต
ขอแนะนำ Cfosspeed Restart เครื่องอีกครั้ง ขอให้รื่นรมย์กับความแรง



Credit : it-th.net

ความแตกต่างระหว่างWilress และWI-FI

Wilress WI-FI คืออะไร ?
WIFI หรือ Wirelss หมายถึง เครือข่ายไร้สาย มักใช้กับระบบเครือข่าย
ไม่ว่าจะเป็นในองค์กร หรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง
เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง
หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้
ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ
แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกัน
จะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น


WIFI หรือ Wirelss ใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสาร
ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย
โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้

การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11
เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็ว
และคลื่นความถี ่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g
ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก
มาตราฐาน IEEE802.11 และขอบเขตของสัญญาณคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 เมตร
ในพื้นที่โปรง และประมาณ 30 เมตร ในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบ
จากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง
เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั ้งสิ้น

การเชื่อมเครือข่ายไร้สาย มี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure
รายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก รูปแบบเครือข่ายไร้สาย การใช้งานเครือข่ายไร้สาย
ของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point)
ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ
โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณขอเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย"
เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้
ไป Access Point ของผู้ให้บริการ

สรุปการ WIFI หรือ Wirelss ป็นการเชื่อมต่อ เครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์
เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน (LAN) มีสายปกติ
แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่อย่างใด
โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ป กติ
เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัย
ของเครือข่ายได ้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น
ประหยัดค่าสายสัญญาณ และใช้งานได้ทุกที่ที่สัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง

WIFI คืออะไร

Wi-Fi ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network
แบบไร้สาย ภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11
ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา
หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นมันผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา Wi-Fi certified
ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา
Wi-Fi certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์
สำหรับ อุปกรณ์ Lan ไร้สาย ไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันติด




สรุปครับWireless เป็นคำกว้างๆ ที่บ่งบอกว่า ไม่ได้ใช้สายในการเชื่อมต่อ
ดังนั้นอะไรที่ไม่ได้ใช้สาย ก็เรียก ไวร์เลสได้หมด

ส่วน WI-FI เป็นชื่อทางการค้าของ IEEE802.11 ซึ่งกำหนดโปรโตรคอล
แบบไร้สายชนิดนึงที่เป็นที่นิยมใช้ในการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างอุปกรณ ์คอมพิวเตอร์

wireless คือลักษณะของการใช้งานอุปกรณ์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม
แปลตรงตัวว่าไร้สาย ฉะนั้นอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ติดต่อสื่อสารกันโดยไม่ใช้
สายสัญญาณ ถือว่าอุปกรณ์นั้นเป็น wireless เหมือนกัน

Credit : http://www.tlcthai.com/webboard/view...=5&post_id=210

iPad คืออะไร

iPad คือคอมพิวเตอร์พกพาหน้าจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ด Apple ได้ทำการเปิดตัว สำหรับ
ราคาของ iPad เริ่มที่ 499 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 17,000 บาท
ส่วนกำหนดการการวางขาย iPad นอกประเทศอเมริกา คือเดือนมิถุนายน
หากใครอยากได้ iPad เร็วๆ ก็ต้องไปหาซื้อ iPad ตาม มาบุญครอง MBK, Pantip และ ฟอร์จูน
ซึ่งน่าจะเอาเข้ามาให้สาวก Apple ที่มีกำลังซื้อระดับสูงได้ทดลองหามาเล่น สำหรับ iPad จะเหมาะกับคุณหรือไม่ จะเอาiPad มาทำอะไร ลองไปดูกัน

 
สตีฟจ็อบส์ กล่าวถึง iPad ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถพก พาได้สะดวก
กว่าคอมพิวเตอร์แล็บท็อป และมีความสามารถมากกว่าสมาร์ทโฟน
การออกแบบ iPad นั้นทางApple ได้ยึดโมเดลของ iPhone เป็นส่วนใหญ่

Specification ของ iPad
* หน้าจอสัมผัสขนาด 9.7 นิ้ว
* ความหนาตัวเครื่อง 0.5 นิ้ว
* หน่วยความจำภายในเครื่อง 3 ขนาดได้แก่ 16GB 32GB และ 64GB
* ผู้ใช้สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายข้อมูลไร้สาย Wi-Fi
สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมแบบไร้สายด้วยเทคโนโลยี Bluetooth
* การันตีแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง
* แถมสามารถเปิดเครื่องพร้อมใช้งานได้นาน 1 เดือนโดยไม่ต้องชาร์จไฟ

ราคาของ iPad

* สำหรับ iPad รุ่นที่เป็น Wi-Fi อย่างเดียวจะจำหน่าย
ในราคา 499, 599 และ 699 เหรียญตามขนาดความจุ
* แต่หากเป็น ipad รุ่นที่รองรับ 3G ด้วย จะมีราคา 629, 729 และ 829 เหรียญ
ตามขนาดหน่วยความจำ

นั่นแปลว่าราคา iPad รุ่นที่แพงสุดคือ ราวๆ 28,000 บาท
และแน่นอนเมื่อสินค้ากลุ่ม iPad เข้ามาที่ประเทศไทย
ราคา iPad ในประเทศไทยต้องมีการปรับตัวอย่างแน่นอน จะกี่บาทนั้น
ต้องตาม Update กันต่อไป ทาง WitterNews.com จะนำความคืบหน้า
เกี่ยวกับราคาของ iPad มาอัพเดตเป็นระยะๆ



Feature หรือลูกเล่นใน iPad


* สามารถท่องเว็บบน iPad ด้วยเบราว์เซอร์ Safari
* พิมพ์อีเมลด้วยโปรแกรมคีย์บอร์ดบนหน้าจอ
* ชมอัลบั้มรูปภาพด้วยการใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ
* เข้าร้านจำหน่ายหนังสือออนไลน์ใหม่บนไอจูนส์ที่ใช้ชื่อร้านว่า ไอบุ๊กส์ (iBooks)
* iPad มี Program ที่เอาไว้อ่านหนังสือคล้ายๆ kindle ของ Amazon
ที่ให้ความรู้สึกเหมือนการอ่านจากหน้ากระดาษ
* เอา iPad มา sync กับ OS ของ Apple และวินโดวส์ (Windows) ของไมโครซอฟท์ได้
โดย ipad จะมาพร้อมซอฟต์แวร์ปฏิทินงาน แผนที่ และไอจูนส์เพื่อให้ iPad
เป็นเครื่องเล่นเพลงเหมือนไอพ็อดสามารถใช้โปรแกรมแอปพลิเคชัน
ของ iPhone บน iPad ได้

ทาง Apple ได้กล่าวว่าโปรแกรมแอปพลิเคชันที่นักพัฒนาสร้างมาเพื่อ iPhone นั้น
สามารถทำงานบน iPad ได้ โดยงานนี้ Apple ได้เปิดให้นักพัฒนาดาวน์โหลดซอฟต์แวร์
เวอร์ชันใหม่สำหรับสร้างโปรแกรมเพื่อ ใช้บนทั้งไอโฟนและ iPad ด้วย
เพื่ออำนวยความสะดวกเต็มที่บนความหวังให้ผู้ใช้ iPad
มีแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลให้เลือกใช้

ข่าวเปิดตัว iPad ทำหุ้น Apple พุ่ง
นำมาสาธิตผ่าน iPadบนเวทีอย่างน่าตื่นตา ท่ามกลางเสียงปรบมือของสื่อมวลชน
และบล็อกเกอร์จำนวนมาก แน่นอนว่า Apple สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มากโข
ส่งให้มูลค่าหุ้นของ Apple เพิ่มขึ้น 1% ทันทีหลังประกาศ ก่อนจะปิดที่ 207.98 เหรียญ
 
 
 
เคดิต http://witternews.com/ipad-news-review-specification-price/

ผู้ติดตาม