ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ หรือมีเครื่องเก่าอยู่แล้ว คุณสามารถเช็คแหล่งผลิตของมือถือง่ายๆ จากเลขอีมี่ (IMEI) เพราะแหล่งผลิตนั้นๆ มันจะบ่งบอกถึงคุณภาพของมือถือที่เราใช้อยู่ มาดูวิธีการตรวจสอบกันเลยดีกว่า…
ขั้นแรกให้กด *#06# แล้วจะมีเลขจำนวน 15 หลักโผล่ขึ้นมา (นั่นแหล่ะเค้าเรียกว่า IMEI หรือ อีมี่ นั้เอง)
แล้วเราจะรู้ได้งัยล่ะว่าผลิตจากไหน?ง่ายๆ ครับ ให้คุณสังเกตจากตัวเลขหลักที่ 7 และ 8 จากทั้งหมดที่มีอยู่ 15 หลัก ว่าเป็นเลขอะไรแล้วตรวจสอบตามข้างล่างนี้
02 หรือ 20 ตัวเลขนี้หมายถึงว่า เครื่องโทรศัพท์มือถือของคุณประกอบในประเทศจีน ซึ่งมี คุณภาพต่ำ
08 หรือ 80 ตัวเลขนี้หมายถึงว่า เครื่องโทรศัพท์มือถือของคุณประกอบในประเทศเยอรมัน ซึ่งมี คุณภาพปานกลาง
01 หรือ 10 ตัวเลขนี้หมายถึงว่า เครื่องโทรศัพท์มือถือของคุณประกอบในประเทศฟินแลนด์ซึ่งมี คุณภาพดีมาก
00 ตัวเลขนี้หมายถึงว่า เครื่องโทรศัพท์มือถือของคุณประกอบในโรงงานผลิต โดยตรงซึ่งมี คุณภาพดีที่สุด
13 ตัวเลขนี้หมายถึงว่า เครื่องโทรศัพท์มือถือของคุณประกอบในประเทศอาเซอร์ไบจัน ซึ่งมี คุณภาพเลวและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เคล็ดลับมือถือ เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
วันนี้ผมมีเคล็ดลับมือถือมาฝากเพี่อนๆ ครับ..พอดีไปอ่านเจอ ก็เลยอยากแบ่งปัน
เผื่อเป็นอีกทางเลือกเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินครับ...
1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้ กด 112
แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์นี้ได้..
2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ…สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
ถ้า รถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ
(เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขา ให้กดปุ่ม unlock
บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
(คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่ กดปุ่ม)
ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเองเลยแหละระยะทางไม่มีปัญหา
แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด * 3370# สำหรับมือถือ Nokia
ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด * 3370# มันจะรีดพลังสำรอง
ที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรองนี้
ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป
ในกรณีนี้เราต้องใช้ หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15- 17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้
ก็ไม่ยากครับ กด * #06# แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล
จดไว้ครับแล้วเก็บไว้ให้ดี….
ทีนี้ถ้ามือถือหาย ตกหล่น หรือโดนขโมย ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไปเขาก็
จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไป
จะเปลี่ยน sim card มันก็จะยัง ใช้ไม่ได้อยู่ดี
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านนะครับ
ถ้ามีเคล็ดลับดีๆ เดี๋ยวจะนำมาเขียนอีกครับ ...
เผื่อเป็นอีกทางเลือกเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินครับ...
1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้ กด 112
แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์นี้ได้..
2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ…สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
ถ้า รถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ
(เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขา ให้กดปุ่ม unlock
บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
(คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่ กดปุ่ม)
ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเองเลยแหละระยะทางไม่มีปัญหา
แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด * 3370# สำหรับมือถือ Nokia
ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด * 3370# มันจะรีดพลังสำรอง
ที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรองนี้
ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป
ในกรณีนี้เราต้องใช้ หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15- 17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้
ก็ไม่ยากครับ กด * #06# แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล
จดไว้ครับแล้วเก็บไว้ให้ดี….
ทีนี้ถ้ามือถือหาย ตกหล่น หรือโดนขโมย ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไปเขาก็
จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไป
จะเปลี่ยน sim card มันก็จะยัง ใช้ไม่ได้อยู่ดี
หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านนะครับ
ถ้ามีเคล็ดลับดีๆ เดี๋ยวจะนำมาเขียนอีกครับ ...
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553
ข้อแตกต่างของ LCD TV กับ Plasma TV
ขอ้มูล LCD TV กับ Plasma TV
จอธรรมดาทั่วไป ที่ทั้งอ้วน-หนา-หนัก นั้นเรียกว่า จอ CRT (Crystal Ray Tube) มีอัตราส่วนจอ
เป็น 4:3 แต่ส่วน Plasma และ LCD นั้นเป็นจอภาพแสดงผลแบบ "บาง" ทั้งคู่ โดยส่วนใหญ่มีอัตราส่วน
จอเป็น 16:9 (มี LCD บางรุ่นเล็กที่เป็น 4:3) แต่มีวิธีการสร้างภาพไม่เหมือนกัน คือ
LCD - เป็นจอภาพที่แสดงผลแบบ TFT ภายในเป็นกระจก 2 ชั้นบรรจุของเหลว ที่ตกผลึกเฉพาะจุด
ที่ได้รับกระแสไฟฟ้าหรือความร้อน หรือที่เรียกว่า Pixel นิยมใช้ในจอคอมพิวเตอร์
Plasma - หลักการทำงานคล้าย LCD แต่ใช้แก๊สบรรจุในแผ่นกระจกแทนของเหลว
จุดเด่นของ Plasma
1. มุมมองการรับชม
Plasma สามารถรับชมภาพได้ชัดเจนจากทุกมุมมอง คือมองภาพจากด้านซ้าย-ขวา หรือยืนดู นอนดู ได้หมดครับ ...ในขณะที่ LCD ทั่วไป ถ้าไม่ได้มองภาพตรงๆ ภาพจะมืดลงครับ
2. Contrast Ratio (อัตราส่วนความแตกต่างระหว่างภาพมืดสุด-ถึง-สว่างสุด)
Plasma มักจะมี Contrast ที่ดีกว่า LCD ...ถ้า Contrast ต่ำ ภาพสีดำก็จะไม่ดำสนิท เช่นเดียวกับสีขาว
ก็จะไม่ขาวสนิท)
3. Response Time (ความเร็วในการตอบสนองเพื่อแสดงผลภาพ)
Plasms มีค่า Response Time ต่ำกว่า LCD ...ค่านี้ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดีครับ เพราะถ้าหากค่ามาก
ภาพเคลื่อนไหวจะเห็นมีเงาวิ่งตามภาพ
- ระบบสี WCG-CCFL (ทำให้แสดงสีเขียว-แดงได้เข้มขึ้น)
- Wega Engine
- ช่องต่อ HDMI
- แอมป์แบบ S-Master (ดิจิตอลทุกขั้นตอน)
- ระบบเสียง TruSurround XT
- ความละเอียด = WXGA (1366x768 พิกเซล)
- ความสว่าง = 500 cd/m2
4. ราคาและขนาด
ราคาเทียบกันต่อนิ้วแล้ว Plasma จะมีราคาต่ำกว่า LCD และขนาดจะมีไปถึงขนาดใหญ่กว่า
- LCD TV จะผลิตตั้งแต่ 15" - 45"
- Plasma TV จะผลิตตั้งแต่ 37" - 60"
จุดเด่นของ LCD
1. Resolution (ความละเอียดของหน้าจอ)
- Plasma ส่วนใหญ่จะมีความละเอียดที่ W-VGA 852x480 พิกเซล
- LCD ส่วนใหญ่จะมีความละเอียดมากกว่าที่ W-XGA (1,366x768) หรือสูงกว่านี้ก็มีครับ
2. Dot Pitch (ระยะห่างระหว่างจุดสี)
ของ LCD มีค่าน้อยกว่า คือยิ่งค่าน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะหมายถึงระยะห่างระหว่างจุดใกล้กันกว่า
ทำให้เวลานำมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ภาพของ LCD จะละเอียดกว่า
3. Brightness (ความสว่าง)
LCD มีความสว่างที่ดีกว่า Plasma เป็นจุดเด่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ
4. แสงสะท้อน บนผิวหน้าจอ
ทั้งทีวีจอแก้ว (CRT) หรือ Plasma TV หน้าจอจะเป็นกระจก ซึ่งแน่นอนว่าสะท้อนแสงแน่ๆครับ
ถ้าห้องเราเปิดไฟไว้ เราจะเห็นหลอดไฟบนหน้าจอ และในฉากมืดๆ เรายังจะมองเห็นเงาสะท้อน
ของตัวเราเองด้วยซ้ำครับ
LCD TV หน้าจอไม่ใช่กระจกครับ จึงไม่สะท้อนแสงแน่นอน ภาพจึงไม่มีแสงสะท้อนรบกวน
คุณภาพของภาพครับ
5. ไม่มีอาการจอไหม้
Plasma TV ถ้าเปิดภาพใดภาพหนึ่งแช่ไว้นานๆ โดยไม่เปลี่ยนภาพ เช่น เปิดภาพที่เป็นจอกว้าง
มีแถบดำด้านบน-ล่างของจอ หรือเปิดเกมที่มีการแสดงคะแนน ฯลฯ ค้างบนจอในจุดเดียวนานๆ
จะเกิดอาการ "จอไหม้" ได้ครับ คือ ภาพที่เปิดแช่นั้นมันจะค้าง ถึงเราเปลี่ยนไปดูภาพอื่นแล้ว
แต่ยังจะเห็นภาพนั้นลางๆค้างอยู่ ส่วน LCD TV จะไม่เป็นอาการนี้ครับ เค้าจึงนิยมเอามาใช้
เป็นจอคอมพิวเตอร์ไงครับ
6. ประหยัดไฟ และการแผ่รังสีความร้อนต่ำกว่า
LCD ประหยัดไฟกว่า Plasma ประมาณ 40% ในขนาดเดียวกัน และยังแผ่ความร้อนออกมา
น้อยกว่าด้วยครับ Plasma ที่เปิดทิ้งไว้สักพัก ลองไปยืนใกล้ๆดูครับ ร้อนวูบเลยล่ะ
จอธรรมดาทั่วไป ที่ทั้งอ้วน-หนา-หนัก นั้นเรียกว่า จอ CRT (Crystal Ray Tube) มีอัตราส่วนจอ
เป็น 4:3 แต่ส่วน Plasma และ LCD นั้นเป็นจอภาพแสดงผลแบบ "บาง" ทั้งคู่ โดยส่วนใหญ่มีอัตราส่วน
จอเป็น 16:9 (มี LCD บางรุ่นเล็กที่เป็น 4:3) แต่มีวิธีการสร้างภาพไม่เหมือนกัน คือ
LCD - เป็นจอภาพที่แสดงผลแบบ TFT ภายในเป็นกระจก 2 ชั้นบรรจุของเหลว ที่ตกผลึกเฉพาะจุด
ที่ได้รับกระแสไฟฟ้าหรือความร้อน หรือที่เรียกว่า Pixel นิยมใช้ในจอคอมพิวเตอร์
Plasma - หลักการทำงานคล้าย LCD แต่ใช้แก๊สบรรจุในแผ่นกระจกแทนของเหลว
จุดเด่นของ Plasma
1. มุมมองการรับชม
Plasma สามารถรับชมภาพได้ชัดเจนจากทุกมุมมอง คือมองภาพจากด้านซ้าย-ขวา หรือยืนดู นอนดู ได้หมดครับ ...ในขณะที่ LCD ทั่วไป ถ้าไม่ได้มองภาพตรงๆ ภาพจะมืดลงครับ
2. Contrast Ratio (อัตราส่วนความแตกต่างระหว่างภาพมืดสุด-ถึง-สว่างสุด)
Plasma มักจะมี Contrast ที่ดีกว่า LCD ...ถ้า Contrast ต่ำ ภาพสีดำก็จะไม่ดำสนิท เช่นเดียวกับสีขาว
ก็จะไม่ขาวสนิท)
3. Response Time (ความเร็วในการตอบสนองเพื่อแสดงผลภาพ)
Plasms มีค่า Response Time ต่ำกว่า LCD ...ค่านี้ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดีครับ เพราะถ้าหากค่ามาก
ภาพเคลื่อนไหวจะเห็นมีเงาวิ่งตามภาพ
- ระบบสี WCG-CCFL (ทำให้แสดงสีเขียว-แดงได้เข้มขึ้น)
- Wega Engine
- ช่องต่อ HDMI
- แอมป์แบบ S-Master (ดิจิตอลทุกขั้นตอน)
- ระบบเสียง TruSurround XT
- ความละเอียด = WXGA (1366x768 พิกเซล)
- ความสว่าง = 500 cd/m2
4. ราคาและขนาด
ราคาเทียบกันต่อนิ้วแล้ว Plasma จะมีราคาต่ำกว่า LCD และขนาดจะมีไปถึงขนาดใหญ่กว่า
- LCD TV จะผลิตตั้งแต่ 15" - 45"
- Plasma TV จะผลิตตั้งแต่ 37" - 60"
จุดเด่นของ LCD
1. Resolution (ความละเอียดของหน้าจอ)
- Plasma ส่วนใหญ่จะมีความละเอียดที่ W-VGA 852x480 พิกเซล
- LCD ส่วนใหญ่จะมีความละเอียดมากกว่าที่ W-XGA (1,366x768) หรือสูงกว่านี้ก็มีครับ
2. Dot Pitch (ระยะห่างระหว่างจุดสี)
ของ LCD มีค่าน้อยกว่า คือยิ่งค่าน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะหมายถึงระยะห่างระหว่างจุดใกล้กันกว่า
ทำให้เวลานำมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ภาพของ LCD จะละเอียดกว่า
3. Brightness (ความสว่าง)
LCD มีความสว่างที่ดีกว่า Plasma เป็นจุดเด่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ
4. แสงสะท้อน บนผิวหน้าจอ
ทั้งทีวีจอแก้ว (CRT) หรือ Plasma TV หน้าจอจะเป็นกระจก ซึ่งแน่นอนว่าสะท้อนแสงแน่ๆครับ
ถ้าห้องเราเปิดไฟไว้ เราจะเห็นหลอดไฟบนหน้าจอ และในฉากมืดๆ เรายังจะมองเห็นเงาสะท้อน
ของตัวเราเองด้วยซ้ำครับ
LCD TV หน้าจอไม่ใช่กระจกครับ จึงไม่สะท้อนแสงแน่นอน ภาพจึงไม่มีแสงสะท้อนรบกวน
คุณภาพของภาพครับ
5. ไม่มีอาการจอไหม้
Plasma TV ถ้าเปิดภาพใดภาพหนึ่งแช่ไว้นานๆ โดยไม่เปลี่ยนภาพ เช่น เปิดภาพที่เป็นจอกว้าง
มีแถบดำด้านบน-ล่างของจอ หรือเปิดเกมที่มีการแสดงคะแนน ฯลฯ ค้างบนจอในจุดเดียวนานๆ
จะเกิดอาการ "จอไหม้" ได้ครับ คือ ภาพที่เปิดแช่นั้นมันจะค้าง ถึงเราเปลี่ยนไปดูภาพอื่นแล้ว
แต่ยังจะเห็นภาพนั้นลางๆค้างอยู่ ส่วน LCD TV จะไม่เป็นอาการนี้ครับ เค้าจึงนิยมเอามาใช้
เป็นจอคอมพิวเตอร์ไงครับ
6. ประหยัดไฟ และการแผ่รังสีความร้อนต่ำกว่า
LCD ประหยัดไฟกว่า Plasma ประมาณ 40% ในขนาดเดียวกัน และยังแผ่ความร้อนออกมา
น้อยกว่าด้วยครับ Plasma ที่เปิดทิ้งไว้สักพัก ลองไปยืนใกล้ๆดูครับ ร้อนวูบเลยล่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
Hardware คืนชีพแฟลชไดรฟ์
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมีธัมบ์ไดรฟ์ หรือแฟลชไดรฟ์ไว้สำรองข้อมูลกันแทบทุกคน โดยเฉพาะเพื่อนๆ สมาชิกคอมพิวเตอร์.ทูเดย์ เพราะทางนิตยสาร เพิ่งจะแจก “กิ๊ก” (แฟลชไดรฟ์ความจุ 1กิกะไบต์) ให้กับสมาชิกราย 2 ปี ซึ่งยี่ห้อนี้ดีมากๆ ขอบอก! (อันนี้นายเกาเหลาไม่ได้ค่าโฆษณา หรือค่าบทความเพิ่มแต่อย่างใด)
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่า หน่วยความจำสำรอง ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ หรือโซลิดสเตท ก็ไม่อาจหนีสัจธรรมที่ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง สังขารไม่เที่ยง แฟลชไดรฟ์ก็มีโอกาสที่จะพัง หรือเกิดข้อผิดพลาดจนใช้การไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่โอกาสน้อยกว่าฮาร์ดไดรฟ์เท่านั้น พวกเราเคยฟังเรื่องของการกู้ข้อมูล หรือคืนชีพให้ฮาร์ดดิสก์ด้วยวิธีต่างๆ มามากแล้ว ตั้งแต่ใช้ซอฟต์แวร์แก้ไขไปจนถึงแช่ตู้เย็น ??? แต่ครั้งนี้นายเกาเหลามีวิธีคืนชีพแฟลชไดรฟ์มาฝากเพื่อนๆ ครับ
ปัญหาแฟลชไดรฟ์เดี๊ยงในลักษณะที่พอจะเยียวยาได้ สาเหตุ และอาการที่พบก็คือ ในขณะที่ต่อธัมบ์ไดรฟ์ถ่ายโอนไฟล์อย่างเมามันอยู่นั้น จู่ๆ Windows XP ก็แช่แข็งตัวเองซะงั้น พอบูตเครื่องเสร็จ My Computer ตรวจพบว่า ธัมบ์ไดรฟ์มีความจุเหลือ 0 เมกะไบต์ แม้จะพยายามฟอร์แมตมันใหม่ก็ไม่สำเร็จ...หรือจะซื้อของใหม่ไปเลย
อย่างไรก็ตาม ก่อนด่วนตัดสินใจทำเช่นนั้น นายเกาเหลาอยากให้ลองใช้วิธีต่อไปนี้ดูก่อนจะดีไหมครับ อย่างน้อยจะได้ถือว่า พยายามแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ดาวน์โหลด และติดตั้งยูทิลิตีชื่อว่า HP Drive Key Boot ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ ดับเบิลคลิ้กไอคอนโปรแกรมบนเดสก์ทอป เลือกแฟลชไดรฟ์ที่ต้องการซ่อม ภายใต้เซ็กชัน Device
2. เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการฟอร์แมตให้กับไดรฟ์ ซึ่งได้แก่ FAT, FAT32 หรือ NTFS
3. เลือกเช็กบ็อกซ์ Quick Format
4. คลิ้กปุ่ม Start ของโปรแกรม
หลังจากฟอร์แมตเสร็จแล้ว ทดลองใช้งานดูนะครับ ซึ่งถ้ายังไม่ได้ ให้เพื่อนๆ ทดลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ตยูเอสบี
2. เรียกโปรแกรม HP Drive Key Boot Utility ภายใต้โฟลเดอร์ HP System Tools
3. โปรแกรมจะแนะนำขั้นตอนการแฟลชเฟิร์มแวร์ ตลอดจนการทำให้บูตได้ เพียงแค่คลิ้กตามขั้นตอนของมันเท่านั้นครับ
ในระหว่างที่โปรแกรมสอบถามเกี่ยวกับแฟลชไดรฟ์ จะมีการร้องขอให้เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่แฟลชไดรฟ์ใช้อยู่ (E:, F:…) ถ้าดรอปดาวน์ของโปรแกรมไม่มีการแสดงชื่ออักษรของแฟลชไดรฟ์ออกมา นั่นอาจหมายความว่า แฟลชไดรฟ์เสียบไม่แน่น หรือเป็นแฟลชไดรฟ์ที่โปรแกรมมองว่าเป็นชนิด “fixed disk” วิธีตรวจสอบว่า แฟลชไดรฟ์ของเพื่อนอยู่ในสถานะใด สามารถทำได้โดยดับเบิลคลิ้กบนไอคอน My Computer บนเดสก์ทอป คลิ้กขวาบนไอคอนของแฟลชไดรฟ์ตัวปัญหา เลือกคำสั่ง Properties ชนิดของไดรฟ์จะแสดงขึ้นมา ถ้าไดรฟ์ถูกระบุว่า เป็น “fixed disk” หรือ “local disk” ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการกำหนดชื่ออักษรไดรฟ์ (drive letter) ให้กับแฟลชไดรฟ์ของคุณ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่อไปนี้ก่อน จึงจะไปใช้ HP Drive Key Boot Utility ได้ครับ รายละเอียดมีดังนี้
1. เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ต USB
2. ล็อกอินระบบเป็น Administrator
3. เลือก Start -> Control Panel -> Administrative Tools -> Computer Management
4. เลือก Computer Mangagement (local) -> Storage -> Disk Management (local)
5. เลือก Change/Add Drive Letter สำหรับแมปดิสก์ให้กับแฟลชไดรฟ์
6. เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่ต้องการ
ปกติซอฟต์แวร์ HP Drive Key Boot Utility ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับไดรฟ์ของ HP เท่านั้น แต่มันดูเหมือนว่าจะสามารถใช้ฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในท้องตลาดได้ด้วย แม้แต่การ์ดหน่วยความจำของกล้องดิจิตอล นายเกาเหลาแนะนำทิปนี้ ก็เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแก้ปัญหาเท่านั้น ซึ่งหากมันใช้ได้กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในลักษณะนี้อยู่ ก็น่าจะเป็นการดียิ่ง แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้เจอปัญหานี้ อย่างน้อยที่สุด คุณผู้อ่านก็ได้ทราบว่า ปัญหานี้ยังมีโอกาสแก้ไขได้เหมือนกัน ขอให้โชคดีนะครับ
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่า หน่วยความจำสำรอง ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ หรือโซลิดสเตท ก็ไม่อาจหนีสัจธรรมที่ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง สังขารไม่เที่ยง แฟลชไดรฟ์ก็มีโอกาสที่จะพัง หรือเกิดข้อผิดพลาดจนใช้การไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่โอกาสน้อยกว่าฮาร์ดไดรฟ์เท่านั้น พวกเราเคยฟังเรื่องของการกู้ข้อมูล หรือคืนชีพให้ฮาร์ดดิสก์ด้วยวิธีต่างๆ มามากแล้ว ตั้งแต่ใช้ซอฟต์แวร์แก้ไขไปจนถึงแช่ตู้เย็น ??? แต่ครั้งนี้นายเกาเหลามีวิธีคืนชีพแฟลชไดรฟ์มาฝากเพื่อนๆ ครับ
ปัญหาแฟลชไดรฟ์เดี๊ยงในลักษณะที่พอจะเยียวยาได้ สาเหตุ และอาการที่พบก็คือ ในขณะที่ต่อธัมบ์ไดรฟ์ถ่ายโอนไฟล์อย่างเมามันอยู่นั้น จู่ๆ Windows XP ก็แช่แข็งตัวเองซะงั้น พอบูตเครื่องเสร็จ My Computer ตรวจพบว่า ธัมบ์ไดรฟ์มีความจุเหลือ 0 เมกะไบต์ แม้จะพยายามฟอร์แมตมันใหม่ก็ไม่สำเร็จ...หรือจะซื้อของใหม่ไปเลย
อย่างไรก็ตาม ก่อนด่วนตัดสินใจทำเช่นนั้น นายเกาเหลาอยากให้ลองใช้วิธีต่อไปนี้ดูก่อนจะดีไหมครับ อย่างน้อยจะได้ถือว่า พยายามแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ดาวน์โหลด และติดตั้งยูทิลิตีชื่อว่า HP Drive Key Boot ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ ดับเบิลคลิ้กไอคอนโปรแกรมบนเดสก์ทอป เลือกแฟลชไดรฟ์ที่ต้องการซ่อม ภายใต้เซ็กชัน Device
2. เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการฟอร์แมตให้กับไดรฟ์ ซึ่งได้แก่ FAT, FAT32 หรือ NTFS
3. เลือกเช็กบ็อกซ์ Quick Format
4. คลิ้กปุ่ม Start ของโปรแกรม
หลังจากฟอร์แมตเสร็จแล้ว ทดลองใช้งานดูนะครับ ซึ่งถ้ายังไม่ได้ ให้เพื่อนๆ ทดลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ตยูเอสบี
2. เรียกโปรแกรม HP Drive Key Boot Utility ภายใต้โฟลเดอร์ HP System Tools
3. โปรแกรมจะแนะนำขั้นตอนการแฟลชเฟิร์มแวร์ ตลอดจนการทำให้บูตได้ เพียงแค่คลิ้กตามขั้นตอนของมันเท่านั้นครับ
ในระหว่างที่โปรแกรมสอบถามเกี่ยวกับแฟลชไดรฟ์ จะมีการร้องขอให้เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่แฟลชไดรฟ์ใช้อยู่ (E:, F:…) ถ้าดรอปดาวน์ของโปรแกรมไม่มีการแสดงชื่ออักษรของแฟลชไดรฟ์ออกมา นั่นอาจหมายความว่า แฟลชไดรฟ์เสียบไม่แน่น หรือเป็นแฟลชไดรฟ์ที่โปรแกรมมองว่าเป็นชนิด “fixed disk” วิธีตรวจสอบว่า แฟลชไดรฟ์ของเพื่อนอยู่ในสถานะใด สามารถทำได้โดยดับเบิลคลิ้กบนไอคอน My Computer บนเดสก์ทอป คลิ้กขวาบนไอคอนของแฟลชไดรฟ์ตัวปัญหา เลือกคำสั่ง Properties ชนิดของไดรฟ์จะแสดงขึ้นมา ถ้าไดรฟ์ถูกระบุว่า เป็น “fixed disk” หรือ “local disk” ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการกำหนดชื่ออักษรไดรฟ์ (drive letter) ให้กับแฟลชไดรฟ์ของคุณ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่อไปนี้ก่อน จึงจะไปใช้ HP Drive Key Boot Utility ได้ครับ รายละเอียดมีดังนี้
1. เชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับพอร์ต USB
2. ล็อกอินระบบเป็น Administrator
3. เลือก Start -> Control Panel -> Administrative Tools -> Computer Management
4. เลือก Computer Mangagement (local) -> Storage -> Disk Management (local)
5. เลือก Change/Add Drive Letter สำหรับแมปดิสก์ให้กับแฟลชไดรฟ์
6. เลือกชื่ออักษรไดรฟ์ที่ต้องการ
ปกติซอฟต์แวร์ HP Drive Key Boot Utility ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับไดรฟ์ของ HP เท่านั้น แต่มันดูเหมือนว่าจะสามารถใช้ฟอร์แมตแฟลชไดรฟ์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในท้องตลาดได้ด้วย แม้แต่การ์ดหน่วยความจำของกล้องดิจิตอล นายเกาเหลาแนะนำทิปนี้ ก็เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแก้ปัญหาเท่านั้น ซึ่งหากมันใช้ได้กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาในลักษณะนี้อยู่ ก็น่าจะเป็นการดียิ่ง แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้เจอปัญหานี้ อย่างน้อยที่สุด คุณผู้อ่านก็ได้ทราบว่า ปัญหานี้ยังมีโอกาสแก้ไขได้เหมือนกัน ขอให้โชคดีนะครับ
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
การแปลงไฟล์วิดีโอจาก YouTube ให้กลายเป็นไฟล์ Animated Gif (ไฟล์.gif ที่เคลื่อนไหวได้)
GifSoup เป็นเว็บไซต์ทีให้บริการแปลงไฟล์วิดีโอจาก YouTube ให้กลายเป็นไฟล์ Animated Gif
(ไฟล์.gif ที่เคลื่อนไหวได้) โดยอาศัยการเล่นข้อมูลภาพต่อเนื่องที่ถูกเรียงลำดับไว้ใน
ไฟล์.gif ไฟล์เดียว ภาพทีได้แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ขนาดไฟล์จะใหญ่กว่าปกติมาก GifSoup
จึงลิมิตให้แปลงไฟล์ภาพที่มีความยาวไม่เกิน 15 วินาที เพื่อไม่ให้คุณได้ไฟล์.gif
ที่มีขนาดใหญ่เกินไป และกินเวลาโหลดนานจนคนดูไม่รอชมนั่นเอง
ขอแนะนำขั้นตอนการใช้งานสั้นๆ แล้วกันนะครับ ขั้นแรกเข้าไปในเว็บไซต์ gifsoup.com
จากนั้นก็อปปี้ url ของวิดีโอที่ต้องการแปลงจากใน youtube มาใส่ในช่อง
Create Animated GIFs from YouTube Videos แล้วคลิกปุ่ม Create Gif ทางเว็บไซต์
จะให้คุณลงทะเบียน เพื่อรับสิทธิ์ในการใช้บริการ (ใช้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ)
หลังจากเสร็จขั้นตอนนี้ ทางเว็บไซต์จะแสดงคลิปวิดีโอที่คุณเลือก พร้อมให้ตั้งเวลาเริ่มต้น
(Start time) และจบ (End time) ของคลิปที่ต้องการแปลง โดยต้องไม่ลืมว่า ระยะเวลาต้องไม่เกิน
15 วินาที เลือกช่วงของคลิปที่คุณต้องการ คลิกปุ่ม Preview เพื่อดูตัวอย่าง หรือปุ่ม Finish
เพื่อเสร็จสิ้นการแปลงไฟล์
ทางเว็บไซต์ยังมีบริการทำลิงค์ให้คุณไปแปะตามเว็บไซต์ต่างๆ
เพื่อแสดง gif ของคุณ หรือจะดาวน์โหลดมาเก็บไว้ใช้ก็ได้
ที่มา : http://www.arip.co.th/
http://thaitipcom.blogspot.com/2009/07/blog-post.html tip แฟรชไดรฟ์
(ไฟล์.gif ที่เคลื่อนไหวได้) โดยอาศัยการเล่นข้อมูลภาพต่อเนื่องที่ถูกเรียงลำดับไว้ใน
ไฟล์.gif ไฟล์เดียว ภาพทีได้แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ขนาดไฟล์จะใหญ่กว่าปกติมาก GifSoup
จึงลิมิตให้แปลงไฟล์ภาพที่มีความยาวไม่เกิน 15 วินาที เพื่อไม่ให้คุณได้ไฟล์.gif
ที่มีขนาดใหญ่เกินไป และกินเวลาโหลดนานจนคนดูไม่รอชมนั่นเอง
ขอแนะนำขั้นตอนการใช้งานสั้นๆ แล้วกันนะครับ ขั้นแรกเข้าไปในเว็บไซต์ gifsoup.com
จากนั้นก็อปปี้ url ของวิดีโอที่ต้องการแปลงจากใน youtube มาใส่ในช่อง
Create Animated GIFs from YouTube Videos แล้วคลิกปุ่ม Create Gif ทางเว็บไซต์
จะให้คุณลงทะเบียน เพื่อรับสิทธิ์ในการใช้บริการ (ใช้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ)
หลังจากเสร็จขั้นตอนนี้ ทางเว็บไซต์จะแสดงคลิปวิดีโอที่คุณเลือก พร้อมให้ตั้งเวลาเริ่มต้น
(Start time) และจบ (End time) ของคลิปที่ต้องการแปลง โดยต้องไม่ลืมว่า ระยะเวลาต้องไม่เกิน
15 วินาที เลือกช่วงของคลิปที่คุณต้องการ คลิกปุ่ม Preview เพื่อดูตัวอย่าง หรือปุ่ม Finish
เพื่อเสร็จสิ้นการแปลงไฟล์
ทางเว็บไซต์ยังมีบริการทำลิงค์ให้คุณไปแปะตามเว็บไซต์ต่างๆ
เพื่อแสดง gif ของคุณ หรือจะดาวน์โหลดมาเก็บไว้ใช้ก็ได้
ที่มา : http://www.arip.co.th/
http://thaitipcom.blogspot.com/2009/07/blog-post.html tip แฟรชไดรฟ์
หลักการทำงานของภาพสามมิติ
หลักการของการทำให้ผู้ชมเห็นภาพ 3 มิติก็คือ การทำให้ตาแต่ละข้างของผู้ชมมองเห็นภาพ
ที่มีมุมมองต่างกัน เช่น การซ้อนภาพสีน้ำเงิน-แดง ภาพสีแดง และภาพสีน้ำเงินที่ซ้อนกันอยู่
จะมีมุมองต่างกัน และใช้แว่นตาน้ำเงิน-แดงเป็นตัวแยกภาพสองภาพ โดยแว่นตาข้างสีแดง
จะมองเห็นภาพสีน้ำเงิน ในขณะแว่นตาที่สวมข้างสีน้ำเงินทำให้มองเห็นภาพสีแดง เมื่อตาสองข้าง
มองเห็นภาพไม่เหมือนกันพร้อมกัน ภาพ 3 มิติจึงเกิดขึ้น
สำหรับ Active Shutter Glasses ก็ยังคงหลักการเดียวกันในการสร้างภาพสามมิติ นั่นคือ ทำอย่างไร
ให้ตาแต่ละข้างของผู้ชมมองเห็นภาพทีมีมุมมองต่างกัน แต่แทนทีจะใช้ภาพซ้อนกัน แล้วใช้แว่นตา
แยกภาพด้วยการใช้สีแดงน้ำเงิน หรือช่องการมองเห็น แต่ด้วยวิธีที่ทีวีสามมิติรุ่นปัจจุบันใช้กัน
โดยเฉพาะ Samsung)จะใช้การแสดงภาพ 2 ภาพที่มุมมองต่างกันสลับไปมาอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่แว่นตา Active Shutter Glassses จะทำหน้าที่เหมือนชัตเตอร์ที่คอยปิดหน้าเลนส์สลับไปมา
อย่างรวดเร็ว โดยที่การเปิดปิดของแว่นตาแต่ละข้างจะสอคคล้องกับภาพที่สลับบนหน้าจอ
เพื่อให้ผู้ชมได้มองเห็นภาพสำหรับตาซ้าย และตาขวาในเวลาใกล้เคียงกันมาก ผลลัพธ์ก็คือ
ผู้ชมเห็นภาพทีปรากฎบนหน้าจอเป็น 3 มิติขึ้นมานั่นเอง
ที่มีมุมมองต่างกัน เช่น การซ้อนภาพสีน้ำเงิน-แดง ภาพสีแดง และภาพสีน้ำเงินที่ซ้อนกันอยู่
จะมีมุมองต่างกัน และใช้แว่นตาน้ำเงิน-แดงเป็นตัวแยกภาพสองภาพ โดยแว่นตาข้างสีแดง
จะมองเห็นภาพสีน้ำเงิน ในขณะแว่นตาที่สวมข้างสีน้ำเงินทำให้มองเห็นภาพสีแดง เมื่อตาสองข้าง
มองเห็นภาพไม่เหมือนกันพร้อมกัน ภาพ 3 มิติจึงเกิดขึ้น
สำหรับ Active Shutter Glasses ก็ยังคงหลักการเดียวกันในการสร้างภาพสามมิติ นั่นคือ ทำอย่างไร
ให้ตาแต่ละข้างของผู้ชมมองเห็นภาพทีมีมุมมองต่างกัน แต่แทนทีจะใช้ภาพซ้อนกัน แล้วใช้แว่นตา
แยกภาพด้วยการใช้สีแดงน้ำเงิน หรือช่องการมองเห็น แต่ด้วยวิธีที่ทีวีสามมิติรุ่นปัจจุบันใช้กัน
โดยเฉพาะ Samsung)จะใช้การแสดงภาพ 2 ภาพที่มุมมองต่างกันสลับไปมาอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่แว่นตา Active Shutter Glassses จะทำหน้าที่เหมือนชัตเตอร์ที่คอยปิดหน้าเลนส์สลับไปมา
อย่างรวดเร็ว โดยที่การเปิดปิดของแว่นตาแต่ละข้างจะสอคคล้องกับภาพที่สลับบนหน้าจอ
เพื่อให้ผู้ชมได้มองเห็นภาพสำหรับตาซ้าย และตาขวาในเวลาใกล้เคียงกันมาก ผลลัพธ์ก็คือ
ผู้ชมเห็นภาพทีปรากฎบนหน้าจอเป็น 3 มิติขึ้นมานั่นเอง
ข้อมูลจาก: http://www.arip.co.th/
วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
โปรแกรมดูดไฟล์จาก YouTube.com
Free YouTube Download โปรแกรมดูดไฟล์จาก YouTube.com เพียงแค่ใส่
URL ของคลิปที่ต้องการเจ้าตัวนี้ก็ทำการดูดออกมาให้ท่านนำไปเก็บไว้บนเครื่องได้
ซึ่งเจ้าตัวนี้มีจุดเด่นที่เหนือจากโปรแกรมดูดคลิป Youtube ทั่วไป
แล้วมันยังมีฟังก์ชั่นแปลงเป็นไฟล์ชนิดต่างๆที่สามารถนำไปเปิดได้
Download now
URL ของคลิปที่ต้องการเจ้าตัวนี้ก็ทำการดูดออกมาให้ท่านนำไปเก็บไว้บนเครื่องได้
ซึ่งเจ้าตัวนี้มีจุดเด่นที่เหนือจากโปรแกรมดูดคลิป Youtube ทั่วไป
แล้วมันยังมีฟังก์ชั่นแปลงเป็นไฟล์ชนิดต่างๆที่สามารถนำไปเปิดได้
Download now
วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Forwardmail ด้วย hotmail
วิธีการส่ง Forward mail ด้วย Hotmail
Forward mail แปลเป็นไทยก็คือการส่งต่อนั้นเอง ซึ่งเราเรียกกันติดปากว่า Forward mail ให้กันหรือยัง
ซึ่ง วิธีการส่ง Forward mail ด้วย Hotmail จะช่วยทำให้การส่งข้อมูล ข้อความไปถึงกันผ่านระบบ
อินเตอร์เน็ตไปยังผู้รับต่างๆ ตามบัญชรายชื่ออีเมลที่เรามี ปกติแล้ว ก็จะมีคนส่งเมล
ที่ประกอบไปด้วยภาพและข้อความที่น่าสนใจ ซึ่งเราคิดว่าดีและมีประโยชน์และ
ต้องการส่งต่อให้พื่อนๆ ของเราได้รับทราบต่อไป
วิธีการ
1 เปิดโปรแกรมอินเตอร์เน็ตขึ้นมา จากนั้นในช่องที่อยู่ url ให้เราพิมพ์ http:www.hotmail.com ลงไป
จากนั้นกด Enter จะเข้าสู่หน้าต่างการ Log in ตามภาพ จากนั้นให้เรากรอก userID
และรหัสผ่าน ของเราลงไป คลิก ลงชื่อเข้าใช้งาน
2 จากนั้นให้เราไปที่ inbox หรือกล่องจดหมายเข้าของเรา จะแสดงรายการจดหมายที่มีผู้ส่งมาถึงเรา
ให้เราคลิกเลือกฉบับทีต้องการส่งต่อขึ้นมา
3 จากนั้นให้สังเกตุแถมเมนูด้านบนจะมี Link คำสั่ง Reply ตอบกลับไปหาคนที่ส่งมาหาเรา Reply all ตอบกลับทุกคน (อันนี้ไม่ค่อยได้ไช้)
Forward ส่งต่อไปยังบุคคลอื่นๆ
ให้เราคลิก Forward
4 จากนั้นให้คลิก To เพื่อเข้าไปเลือกรายชื่อของคนที่เราต้องการส่งไปให้ ตามตัวย่าง
ผมเลือกมาสองคน (เราสามารถเลือกได้มากตามต้องการ)
5 ขั้นสุดท้ายการส่ง ให้เราคลิกปุ่ม Send ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
Forward mail แปลเป็นไทยก็คือการส่งต่อนั้นเอง ซึ่งเราเรียกกันติดปากว่า Forward mail ให้กันหรือยัง
ซึ่ง วิธีการส่ง Forward mail ด้วย Hotmail จะช่วยทำให้การส่งข้อมูล ข้อความไปถึงกันผ่านระบบ
อินเตอร์เน็ตไปยังผู้รับต่างๆ ตามบัญชรายชื่ออีเมลที่เรามี ปกติแล้ว ก็จะมีคนส่งเมล
ที่ประกอบไปด้วยภาพและข้อความที่น่าสนใจ ซึ่งเราคิดว่าดีและมีประโยชน์และ
ต้องการส่งต่อให้พื่อนๆ ของเราได้รับทราบต่อไป
วิธีการ
1 เปิดโปรแกรมอินเตอร์เน็ตขึ้นมา จากนั้นในช่องที่อยู่ url ให้เราพิมพ์ http:www.hotmail.com ลงไป
จากนั้นกด Enter จะเข้าสู่หน้าต่างการ Log in ตามภาพ จากนั้นให้เรากรอก userID
และรหัสผ่าน ของเราลงไป คลิก ลงชื่อเข้าใช้งาน
2 จากนั้นให้เราไปที่ inbox หรือกล่องจดหมายเข้าของเรา จะแสดงรายการจดหมายที่มีผู้ส่งมาถึงเรา
ให้เราคลิกเลือกฉบับทีต้องการส่งต่อขึ้นมา
Forward ส่งต่อไปยังบุคคลอื่นๆ
ให้เราคลิก Forward
ผมเลือกมาสองคน (เราสามารถเลือกได้มากตามต้องการ)
5 ขั้นสุดท้ายการส่ง ให้เราคลิกปุ่ม Send ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การค้นหาภาพยนตร์ตามเวลาออกอากาศWindows7
เมื่อต้องการค้นหาภาพยนตร์ที่กำหนดเวลาไว้ว่าจะออกอากาศ
คลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก โปรแกรมทั้งหมด จากนั้นคลิก Windows Media Center
เมื่อต้องการค้นหาภาพยนตร์ที่กำลังออกอากาศทางทีวี ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ภาพยนตร์ แล้วคลิก รายการแนะนำภาพยนตร์
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ภาพยนตร์ แล้วคลิก ค้นหา จากนั้นเลือกประเภทการค้นหา (เช่น ผู้กำกับภาพยนตร์) แล้วใส่เกณฑ์ในการค้นหาของคุณ
คลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก โปรแกรมทั้งหมด จากนั้นคลิก Windows Media Center
เมื่อต้องการค้นหาภาพยนตร์ที่กำลังออกอากาศทางทีวี ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ภาพยนตร์ แล้วคลิก รายการแนะนำภาพยนตร์
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ภาพยนตร์ แล้วคลิก ค้นหา จากนั้นเลือกประเภทการค้นหา (เช่น ผู้กำกับภาพยนตร์) แล้วใส่เกณฑ์ในการค้นหาของคุณ
การใช้รีโมทของ Media Center เพื่อดูรายการถ่ายทอดสดของทีวี
การดูรายการทีวีถ่ายทอดสดโดยใช้รีโมทของ Media Center
เมื่อต้องการใช้รีโมทของ Media Center เพื่อเริ่มดูทีวี ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
บนรีโมท ให้กดปุ่ม LIVE TV
กดปุ่ม GUIDE แล้วค้นหารายการทีวีที่คุณต้องการดู จากนั้นกดปุ่ม OK
เมื่อต้องการควบคุมการเล่นรายการทีวีถ่ายทอดสด ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
กดปุ่ม CH + หรือปุ่ม CH - เพื่อเลื่อนขึ้นไปหนึ่งช่อง (สถานี) หรือเลื่อนลงหนึ่งช่อง (สถานี) ตามลำดับ
กดปุ่ม ENTER เพื่อกลับไปยังช่อง (สถานี) ล่าสุดที่คุณดูก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว
กดปุ่ม FWD หรือปุ่ม SKIP เพื่อไปยังส่วนต่อไปของรายการ
กดปุ่ม REW หรือปุ่ม REPLAY เพื่อดูซ้ำ
เมื่อคุณดูรายการทีวีเสร็จแล้ว ให้กดปุ่ม STOP
เมื่อต้องการใช้รีโมทของ Media Center เพื่อเริ่มดูทีวี ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
บนรีโมท ให้กดปุ่ม LIVE TV
กดปุ่ม GUIDE แล้วค้นหารายการทีวีที่คุณต้องการดู จากนั้นกดปุ่ม OK
เมื่อต้องการควบคุมการเล่นรายการทีวีถ่ายทอดสด ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
กดปุ่ม CH + หรือปุ่ม CH - เพื่อเลื่อนขึ้นไปหนึ่งช่อง (สถานี) หรือเลื่อนลงหนึ่งช่อง (สถานี) ตามลำดับ
กดปุ่ม ENTER เพื่อกลับไปยังช่อง (สถานี) ล่าสุดที่คุณดูก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว
กดปุ่ม FWD หรือปุ่ม SKIP เพื่อไปยังส่วนต่อไปของรายการ
กดปุ่ม REW หรือปุ่ม REPLAY เพื่อดูซ้ำ
เมื่อคุณดูรายการทีวีเสร็จแล้ว ให้กดปุ่ม STOP
การดูรายการทีวีถ่ายทอดสดในWindows7
1.คลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก โปรแกรมทั้งหมด จากนั้นคลิก Windows Media Center
2.เมื่อต้องการเริ่มดูรายการทีวีถ่ายทอดสด ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ทีวี แล้วคลิก รายการทีวีถ่ายทอดสด
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ทีวี แล้วคลิก รายการแนะนำ จากนั้นให้ค้นหารายการทีวีที่คุณต้องการดู แล้วคลิกรายการที่กำลังออกอากาศในปัจจุบัน
3.เมื่อต้องการควบคุมการเล่นของทีวีถ่ายทอดสด ให้ขยับเมาส์เพื่อให้ตัวควบคุมการเล่นปรากฎ แล้วเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
คลิกปุ่ม หยุดชั่วคราว เพื่อหยุดเล่นรายการนั้นไว้ชั่วคราว คุณสามารถหยุดรายการชั่วคราวได้ประมาณ 30 นาที เมื่อคุณพร้อมที่จะเล่นรายการนั้นต่อจากที่หยุดไว้ ให้คลิกปุ่ม เล่น
เลื่อนแถบเลื่อนที่ปรากฎเหนือตัวควบคุมการเล่นไปที่จุดอื่น เพื่อเริ่มดูรายการทีวีจากจุดนั้น
คลิกปุ่ม ข้ามย้อนหลัง หรือปุ่ม กรอกลับ เพื่อดูซ้ำอีกครั้ง แล้วคลิกปุ่ม กรอไปข้างหน้า หรือปุ่ม ข้ามไปข้างหน้า เพื่อข้ามไปดูส่วนต่อไปในรายการ
คลิกปุ่ม เพิ่มเสียง หรือปุ่ม ลดเสียง เพื่อเพิ่มหรือลดระดับเสียง แล้วคลิกปุ่ม ปิดเสียง เมื่อต้องการเปิดหรือปิดเสียง
คลิกปุ่ม เปลี่ยนช่องลง หรือปุ่ม เปลี่ยนช่องขึ้น เพื่อเลื่อนลงหนึ่งช่อง (สถานี) หรือเลื่อนขึ้นหนึ่งช่อง (สถานี) ตามลำดับ
คลิกปุ่ม หยุดชั่วคราว แล้วคลิกปุ่ม ข้ามไปข้างหน้า ซ้ำๆ เพื่อเลื่อนไปข้างหน้าทีละเฟรม
คลิกปุ่ม หยุดชั่วคราว แล้วคลิกปุ่ม กรอไปข้างหน้า หนึ่ง สอง สาม หรือสี่ครั้ง เพื่อเลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วระดับต่างๆ
4.เมื่อคุณดูรายการทีวีเสร็จแล้ว ให้ขยับเมาส์ แล้วคลิกปุ่ม หยุด
หมายเหตุ
ตัวควบคุมการเล่นบางตัวอาจไม่พร้อมใช้งาน โดยขึ้นอยู่กับขนาดหน้าต่างของ Media Center เมื่อต้องการดูตัวควบคุมการเล่นทั้งหมด ให้เพิ่มขนาดของหน้าต่าง หรือไปที่โหมดเต็มหน้าจอด้วยการคลิกปุ่ม ขยายใหญ่สุด ที่มุมขวาด้านบน
2.เมื่อต้องการเริ่มดูรายการทีวีถ่ายทอดสด ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ทีวี แล้วคลิก รายการทีวีถ่ายทอดสด
ในหน้าจอเริ่มต้นของ Windows Media Center ให้เลื่อนไปที่ ทีวี แล้วคลิก รายการแนะนำ จากนั้นให้ค้นหารายการทีวีที่คุณต้องการดู แล้วคลิกรายการที่กำลังออกอากาศในปัจจุบัน
3.เมื่อต้องการควบคุมการเล่นของทีวีถ่ายทอดสด ให้ขยับเมาส์เพื่อให้ตัวควบคุมการเล่นปรากฎ แล้วเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
คลิกปุ่ม หยุดชั่วคราว เพื่อหยุดเล่นรายการนั้นไว้ชั่วคราว คุณสามารถหยุดรายการชั่วคราวได้ประมาณ 30 นาที เมื่อคุณพร้อมที่จะเล่นรายการนั้นต่อจากที่หยุดไว้ ให้คลิกปุ่ม เล่น
เลื่อนแถบเลื่อนที่ปรากฎเหนือตัวควบคุมการเล่นไปที่จุดอื่น เพื่อเริ่มดูรายการทีวีจากจุดนั้น
คลิกปุ่ม ข้ามย้อนหลัง หรือปุ่ม กรอกลับ เพื่อดูซ้ำอีกครั้ง แล้วคลิกปุ่ม กรอไปข้างหน้า หรือปุ่ม ข้ามไปข้างหน้า เพื่อข้ามไปดูส่วนต่อไปในรายการ
คลิกปุ่ม เพิ่มเสียง หรือปุ่ม ลดเสียง เพื่อเพิ่มหรือลดระดับเสียง แล้วคลิกปุ่ม ปิดเสียง เมื่อต้องการเปิดหรือปิดเสียง
คลิกปุ่ม เปลี่ยนช่องลง หรือปุ่ม เปลี่ยนช่องขึ้น เพื่อเลื่อนลงหนึ่งช่อง (สถานี) หรือเลื่อนขึ้นหนึ่งช่อง (สถานี) ตามลำดับ
คลิกปุ่ม หยุดชั่วคราว แล้วคลิกปุ่ม ข้ามไปข้างหน้า ซ้ำๆ เพื่อเลื่อนไปข้างหน้าทีละเฟรม
คลิกปุ่ม หยุดชั่วคราว แล้วคลิกปุ่ม กรอไปข้างหน้า หนึ่ง สอง สาม หรือสี่ครั้ง เพื่อเลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วระดับต่างๆ
4.เมื่อคุณดูรายการทีวีเสร็จแล้ว ให้ขยับเมาส์ แล้วคลิกปุ่ม หยุด
หมายเหตุ
ตัวควบคุมการเล่นบางตัวอาจไม่พร้อมใช้งาน โดยขึ้นอยู่กับขนาดหน้าต่างของ Media Center เมื่อต้องการดูตัวควบคุมการเล่นทั้งหมด ให้เพิ่มขนาดของหน้าต่าง หรือไปที่โหมดเต็มหน้าจอด้วยการคลิกปุ่ม ขยายใหญ่สุด ที่มุมขวาด้านบน
การดูทีวีใน Windows Media Center
ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณมีฮาร์ดแวร์ที่จำเป็น คุณสามารถใช้ Windows Media Center เพื่อดู หยุดชั่วคราว และกรอกลับรายการทีวีถ่ายทอดสดและรายการทีวีที่บันทึกไว้บนพีซีของคุณได้
ดูรายการทีวีถ่ายทอดสดใน Windows Media Center
เมื่อต้องการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการดูรายการทีวีถ่ายทอดสด ให้ดูที่ การดูทีวีใน Windows Media Center: คำถามที่ถามบ่อย
เมื่อต้องการค้นหารายการทีวีที่กำลังออกอากาศอยู่ในขณะนี้ หรือที่จะออกอากาศในภายหลัง ให้ตรวจสอบรายการออกอากาศใน 'รายการแนะนำ' 'รายการแนะนำ' จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับรายการทีวีทั้งหมดที่คุณสามารถดูหรือบันทึกได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ให้ดูที่ การใช้ 'รายการแนะนำ' ใน Windows Media Center
เมื่อต้องการดูรายการทีวีถ่ายทอดสดใน Media Center คุณจำเป็นต้องมีสองสิ่งต่อไปนี้
เครื่องรับสัญญาณทีวี (อุปกรณ์ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านช่องเสียบแผงวงจรส่วนขยายภายในหรือพอร์ตส่วนขยายภายนอก เช่น พอร์ต USB) ได้
แหล่งสัญญาณทีวี (เช่น จากเสาอากาศทีวี หรือช่องต่อสัญญาณเคเบิลทีวี)
ถ้าคุณไม่มีเครื่องรับสัญญาณทีวี หรือไม่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ คุณยังคงสามารถใช้ Media Center ดูรายการทีวีทางอินเทอร์เน็ตได้ (รายการทีวีที่ส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ได้ออกอากาศผ่านคลื่นทางอากาศ หรือผ่านสายเคเบิล หรือระบบดาวเทียม)
วิธีการควบคุม Media Center มีสองวิธีหลัก คือ ใช้เมาส์กับแป้นพิมพ์ หรือใช้รีโมทคอนโทรลของ Media Center ขั้นตอนส่วนใหญ่ในหัวข้อนี้จะเกี่ยวกับวิธีการใช้เมาส์และแป้นพิมพ์ แต่วิธีการใช้รีโมทคอนโทรลมักจะให้ประสบการณ์ที่น่าพอใจกว่า รีโมทคอนโทรลสำหรับ Media Center มีอยู่หลายชนิด กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าชนิดที่คุณต้องการนั้นเข้ากันได้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ
หมายเหตุ
คุณต้องมีเครื่องรับสัญญาณทีวีแบบแอนะล็อกหรือแบบดิจิทัลเพื่อเล่นหรือบันทึกรายการทีวีถ่ายทอดสดใน Windows Media Center ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณไม่มีเครื่องรับสัญญาณทีวีติดมาด้วย คุณอาจติดตั้งเพิ่มเติมได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอรับเครื่องรับสัญญาณทีวี ให้ดูที่ การขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับเครื่องรับสัญญาณทีวีของคุณ หรือติดต่อผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ของคุณ
ดูรายการทีวีถ่ายทอดสดใน Windows Media Center
เมื่อต้องการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการดูรายการทีวีถ่ายทอดสด ให้ดูที่ การดูทีวีใน Windows Media Center: คำถามที่ถามบ่อย
เมื่อต้องการค้นหารายการทีวีที่กำลังออกอากาศอยู่ในขณะนี้ หรือที่จะออกอากาศในภายหลัง ให้ตรวจสอบรายการออกอากาศใน 'รายการแนะนำ' 'รายการแนะนำ' จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับรายการทีวีทั้งหมดที่คุณสามารถดูหรือบันทึกได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ให้ดูที่ การใช้ 'รายการแนะนำ' ใน Windows Media Center
เมื่อต้องการดูรายการทีวีถ่ายทอดสดใน Media Center คุณจำเป็นต้องมีสองสิ่งต่อไปนี้
เครื่องรับสัญญาณทีวี (อุปกรณ์ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านช่องเสียบแผงวงจรส่วนขยายภายในหรือพอร์ตส่วนขยายภายนอก เช่น พอร์ต USB) ได้
แหล่งสัญญาณทีวี (เช่น จากเสาอากาศทีวี หรือช่องต่อสัญญาณเคเบิลทีวี)
ถ้าคุณไม่มีเครื่องรับสัญญาณทีวี หรือไม่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ คุณยังคงสามารถใช้ Media Center ดูรายการทีวีทางอินเทอร์เน็ตได้ (รายการทีวีที่ส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ได้ออกอากาศผ่านคลื่นทางอากาศ หรือผ่านสายเคเบิล หรือระบบดาวเทียม)
วิธีการควบคุม Media Center มีสองวิธีหลัก คือ ใช้เมาส์กับแป้นพิมพ์ หรือใช้รีโมทคอนโทรลของ Media Center ขั้นตอนส่วนใหญ่ในหัวข้อนี้จะเกี่ยวกับวิธีการใช้เมาส์และแป้นพิมพ์ แต่วิธีการใช้รีโมทคอนโทรลมักจะให้ประสบการณ์ที่น่าพอใจกว่า รีโมทคอนโทรลสำหรับ Media Center มีอยู่หลายชนิด กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าชนิดที่คุณต้องการนั้นเข้ากันได้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ
หมายเหตุ
คุณต้องมีเครื่องรับสัญญาณทีวีแบบแอนะล็อกหรือแบบดิจิทัลเพื่อเล่นหรือบันทึกรายการทีวีถ่ายทอดสดใน Windows Media Center ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณไม่มีเครื่องรับสัญญาณทีวีติดมาด้วย คุณอาจติดตั้งเพิ่มเติมได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอรับเครื่องรับสัญญาณทีวี ให้ดูที่ การขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับเครื่องรับสัญญาณทีวีของคุณ หรือติดต่อผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ของคุณ
Windows Media Center ในwindows7
Windows Media Center ดู หยุดชั่วคราว และบันทึกรายการทีวีถ่ายทอดสด ฟังท่วงทำนองของคุณ แสดงคอลเลกชันภาพถ่ายของคุณ เพลิดเพลินไปกับความบันเทิงออนไลน์ และทำทุกอย่างนี้จากโซฟาในห้องนั่งเล่น นักวิจารณ์เรียก Media Center ว่าอัญมณีที่ถูกซ่อนไว้ของ Windows
ใน Windows 7 เราทำให้คุณลักษณะนี้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมคุณลักษณะใหม่ๆ ที่โดดเด่น และรูปลักษณ์ใหม่ๆ ที่สวยงาม Windows Media Center มีอยู่ในรุ่น Home Premium, Professional และ Ultimate ของ Windows 7
Windows Media Center ใน Windows 7 นำเสนอรูปลักษณ์ที่เตะตา และความสะดวกในการเรียกดูที่ดียิ่งขึ้น
ดูได้อีกมากมาย...
Windows Media Center สนับสนุนมาตรฐานและเครื่องรับโทรทัศน์ในทั่วโลกได้มากขึ้น รวมถึงแบบดิจิทัลและความละเอียดสูง และขณะนี้ยังสามารถเล่นเสียงและวิดีโอในรูปแบบที่เป็นที่นิยมได้มากขึ้น ซึ่งได้แก่ 3GP, AAC, AVCHD, DivX, MOV และ Xvid
.เสียเวลารอน้อยลง
ถ้าเบื่อกับการต้องไล่ดูรายการทีวีหรือไลบรารีเพลงจำนวนมหาศาล ตรงไปที่เพลงและเปิดแสดงให้เร็วขึ้นได้ด้วยคุณลักษณะ Turbo Scroll
ทีวีทางอินเทอร์เน็ต
ทีวีทางอินเทอร์เน็ตมีรายการและภาพยนตร์ออนไลน์มากมาย ซึ่งทั้งหมดแสดงอยู่ในรายการแนะนำที่ใช้งานได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องรับสัญญาณทีวี
ทึ่งกับการนำเสนอภาพนิ่งแบบใหม่
ทำภาพตัดปะด้วยภาพถ่ายที่สวยงาม (พร้อมเพลงประกอบ) โดยใช้ตัวสร้างการนำเสนอภาพนิ่ง และตรวจสอบโปรแกรมรักษาหน้าจอที่เป็นการนำเสนอภาพนิ่งแบบใหม่ล่าสุด
การใช้สื่อร่วมกันได้ง่ายขึ้น
เพลิดเพลินกับรายการทีวี เพลง วิดีโอที่บันทึกไว้ แม้เมื่อไม่ได้เก็บอยู่บนพีซีของคุณ คุณลักษณะ โฮมกรุ๊ป ใหม่ช่วยให้สื่อต่างๆ พร้อมใช้งานกับพีซีใดๆ ที่มี Windows 7 ภายในบ้าน
โปรแกรมเบ็ดเตล็ดใหม่ให้การแสดงตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น
โปรแกรมเบ็ดเตล็ด ใหม่ของ Media Center สามารถดูวิดีโอแบบคร่าวๆ ได้อย่างรวดเร็ว เล่นเพลงได้มากขึ้นพร้อมแสดงรายละเอียด ตัวอย่างรูปขนาดย่อที่ใหญ่ขึ้น และดูง่ายขึ้น การปรับปรุงต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Credit: http://windows.microsoft.com
ใน Windows 7 เราทำให้คุณลักษณะนี้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมคุณลักษณะใหม่ๆ ที่โดดเด่น และรูปลักษณ์ใหม่ๆ ที่สวยงาม Windows Media Center มีอยู่ในรุ่น Home Premium, Professional และ Ultimate ของ Windows 7
Windows Media Center ใน Windows 7 นำเสนอรูปลักษณ์ที่เตะตา และความสะดวกในการเรียกดูที่ดียิ่งขึ้น
ดูได้อีกมากมาย...
Windows Media Center สนับสนุนมาตรฐานและเครื่องรับโทรทัศน์ในทั่วโลกได้มากขึ้น รวมถึงแบบดิจิทัลและความละเอียดสูง และขณะนี้ยังสามารถเล่นเสียงและวิดีโอในรูปแบบที่เป็นที่นิยมได้มากขึ้น ซึ่งได้แก่ 3GP, AAC, AVCHD, DivX, MOV และ Xvid
.เสียเวลารอน้อยลง
ถ้าเบื่อกับการต้องไล่ดูรายการทีวีหรือไลบรารีเพลงจำนวนมหาศาล ตรงไปที่เพลงและเปิดแสดงให้เร็วขึ้นได้ด้วยคุณลักษณะ Turbo Scroll
ทีวีทางอินเทอร์เน็ต
ทีวีทางอินเทอร์เน็ตมีรายการและภาพยนตร์ออนไลน์มากมาย ซึ่งทั้งหมดแสดงอยู่ในรายการแนะนำที่ใช้งานได้อย่างสะดวก ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องรับสัญญาณทีวี
ทึ่งกับการนำเสนอภาพนิ่งแบบใหม่
ทำภาพตัดปะด้วยภาพถ่ายที่สวยงาม (พร้อมเพลงประกอบ) โดยใช้ตัวสร้างการนำเสนอภาพนิ่ง และตรวจสอบโปรแกรมรักษาหน้าจอที่เป็นการนำเสนอภาพนิ่งแบบใหม่ล่าสุด
การใช้สื่อร่วมกันได้ง่ายขึ้น
เพลิดเพลินกับรายการทีวี เพลง วิดีโอที่บันทึกไว้ แม้เมื่อไม่ได้เก็บอยู่บนพีซีของคุณ คุณลักษณะ โฮมกรุ๊ป ใหม่ช่วยให้สื่อต่างๆ พร้อมใช้งานกับพีซีใดๆ ที่มี Windows 7 ภายในบ้าน
โปรแกรมเบ็ดเตล็ดใหม่ให้การแสดงตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น
โปรแกรมเบ็ดเตล็ด ใหม่ของ Media Center สามารถดูวิดีโอแบบคร่าวๆ ได้อย่างรวดเร็ว เล่นเพลงได้มากขึ้นพร้อมแสดงรายละเอียด ตัวอย่างรูปขนาดย่อที่ใหญ่ขึ้น และดูง่ายขึ้น การปรับปรุงต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Credit: http://windows.microsoft.com
วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553
ความปลอดภัยใน Internet Explorer 8
Internet Explorer 8 "ปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อออนไลน์"
เมื่อเว็บไซต์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีที่แฮกเกอร์และเว็บไซต์ประสงค์ร้ายต่างๆ พยามยามจะส่งไวรัส
เมื่อเว็บไซต์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีที่แฮกเกอร์และเว็บไซต์ประสงค์ร้ายต่างๆ พยามยามจะส่ง
ไวรัส สร้างความเสียหายใ้ห้กับคอมพิวเตอร์ ดึงข้อมูลส่วนตัว และตรวจสอบพฤติกรรมการออนไลน์
ของคุณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
รู้หรือไม่ว่า
มัลแวร์ คือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายใ้ห้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ
เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ มัลแวร์อาจถูกดาวน์โหลดโดยที่คุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่ได้อนุญาต
ฟิชชิ่ง คือช่องทางสำหรับอาชญากรในการดึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ (เช่น หมายเลขบัตรเครดิต)
โดยแสร้งว่าเป็นองค์กรที่ถูกกฏหมาย เช่น ธนาคารของคุณ Internet Explorer จะช่วยป้องกัน
การจู่โจมเหล่านี้ และอื่นๆ อีกมากมาย การให้บริการเบราว์เซอร์ที่ไว้วา่งใจได้นั้น หมายถึงเบราว์เซอร์
ที่มีความปลอดภัยสูงและเชื่อถือได้ เป็นเบราว์เซอร์ที่เคารพการตัดสินใจของผู้ใช้งาน และช่วยให้
ผู้ใช้งานควบคุมคอมพิวเตอร์และข้อมูลของตนเองได้
ตัวกรอง SmartScreen
ตัวกรอง SmartScreen ใหม่ของ Internet Explorer 8 ช่วยปกป้องคุณจากการติดตั้งมัลแวร์โดยไม่เจตนา
หรือซอฟต์แวร์ที่มีเจตนาร้ายซึ่งเป็นอันตรายต่อข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และข้อมูลเฉพาะตัวของคุณ
และสามารถทำลายคอมพิวเตอร์และข้อมูลอันมีค่าของคุณ เราขอแนะนำให้คุณเปิดใช้งาน SmartScreen ซึ่งคุณสามารถเลือกเปิดหรือปิดการทำงานได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ คุณยังสามารถ
ช่วยพัฒนาเว็บไซต์สำหรับทุกคนได้โดยแจ้งเว็บไซต์ที่สงสัยว่ามีเจตนาร้ายด้วยตัวกรองนี้
หากตัวกรอง SmartScreen ทำงานอยู่และุคุณพยายามเรียกดูเว็บไซต์ที่พิจารณาแล้วว่าไม่ปลอดภัย
หน้าจอด้านล่างนี้จะพร้อมท์ถามให้คุณเลือกดำเนินการอื่นๆ
เมื่อเปิดการทำงาน ตัวกรอง SmartScreen จะแจ้งเตือนเมื่อคุณพยายามดาวน์โหลดซอฟต์แวร์
ที่อาจเป็นอันตราย
ตัวกรอง Cross Site Scripting (XSS)
Internet Explorer 8 ขอแนะนำคุณสมบัติในการตรวจพบรหัสที่เป็นอันตรายบนเว็บไซต์ที่ละเมิด
ความปลอดภัย เพื่อช่วยปกป้องคุณจากการถูกหาผลประโยชน์ที่นำไปสู่การเิปิดเผยข้อมูล
การขโมยคุกกี้ การโจรกรรมบัญชีผู้ใช้/ข้อมูลประจำตัว และอื่นๆ การจู่โจมเหล่านี้เป็นการคุกคาม
ทางออนไลน์ประเภทหลัก เราจึงได้รวม Cross Site Scripting ซึ่งเป็นตัวกรองชนิดใหม่
เพื่อให้คุณออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
การเน้นโดเมน
การเน้นโดเมนทำใ้ห้คุณตีความที่อยู่เว็บต่างๆ (URLs) ได้ง่ายขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ประสงค์ร้าย
และฟิชชิ่งเว็บไซต์ที่พยายามลวงคุณด้วยที่อยู่เว็บซึ่งชวนให้เข้าใจผิด ุคุูณลักษณะนี้จะเน้นสีดำ
ที่ชื่อโดเมนที่ปรากฏในแถบที่อยู่ และส่วนอื่นๆของ URL จะแสดงด้วยสีเทา เพื่อให้ระบุ
คุณลักษณะเฉพาะของเว็บไซต์นั้นๆ ได้ง่ายขึ้น
Data Execution Prevention (DEP) (การป้องกันการดำเนินการข้อมูล)
การป้องกันการดำเนินการข้อมูล (DEP) ที่เปิดการทำงานตามค่าเริ่มต้นของ Internet Explorer 8
ใน Windows Vista Service Pack 1 นั้นเป็นคุณลักษณะเพื่อความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันคอมพิวเตอร์
ของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากไวรัสคอมพิวเตอร์และการคุกคามความปลอดภัยต่างๆ
โดยป้องกันไม่ให้มีการเขียนรหัสบางประเภทลงในพื้นที่หน่วยความจำที่ปฏิบัติการได้
ที่มา http://technology.impaqmsn.com
เมื่อเว็บไซต์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีที่แฮกเกอร์และเว็บไซต์ประสงค์ร้ายต่างๆ พยามยามจะส่งไวรัส
เมื่อเว็บไซต์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีที่แฮกเกอร์และเว็บไซต์ประสงค์ร้ายต่างๆ พยามยามจะส่ง
ไวรัส สร้างความเสียหายใ้ห้กับคอมพิวเตอร์ ดึงข้อมูลส่วนตัว และตรวจสอบพฤติกรรมการออนไลน์
ของคุณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
รู้หรือไม่ว่า
มัลแวร์ คือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายใ้ห้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ
เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ มัลแวร์อาจถูกดาวน์โหลดโดยที่คุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่ได้อนุญาต
ฟิชชิ่ง คือช่องทางสำหรับอาชญากรในการดึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ (เช่น หมายเลขบัตรเครดิต)
โดยแสร้งว่าเป็นองค์กรที่ถูกกฏหมาย เช่น ธนาคารของคุณ Internet Explorer จะช่วยป้องกัน
การจู่โจมเหล่านี้ และอื่นๆ อีกมากมาย การให้บริการเบราว์เซอร์ที่ไว้วา่งใจได้นั้น หมายถึงเบราว์เซอร์
ที่มีความปลอดภัยสูงและเชื่อถือได้ เป็นเบราว์เซอร์ที่เคารพการตัดสินใจของผู้ใช้งาน และช่วยให้
ผู้ใช้งานควบคุมคอมพิวเตอร์และข้อมูลของตนเองได้
ตัวกรอง SmartScreen
ตัวกรอง SmartScreen ใหม่ของ Internet Explorer 8 ช่วยปกป้องคุณจากการติดตั้งมัลแวร์โดยไม่เจตนา
หรือซอฟต์แวร์ที่มีเจตนาร้ายซึ่งเป็นอันตรายต่อข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และข้อมูลเฉพาะตัวของคุณ
และสามารถทำลายคอมพิวเตอร์และข้อมูลอันมีค่าของคุณ เราขอแนะนำให้คุณเปิดใช้งาน SmartScreen ซึ่งคุณสามารถเลือกเปิดหรือปิดการทำงานได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ คุณยังสามารถ
ช่วยพัฒนาเว็บไซต์สำหรับทุกคนได้โดยแจ้งเว็บไซต์ที่สงสัยว่ามีเจตนาร้ายด้วยตัวกรองนี้
หากตัวกรอง SmartScreen ทำงานอยู่และุคุณพยายามเรียกดูเว็บไซต์ที่พิจารณาแล้วว่าไม่ปลอดภัย
หน้าจอด้านล่างนี้จะพร้อมท์ถามให้คุณเลือกดำเนินการอื่นๆ
เมื่อเปิดการทำงาน ตัวกรอง SmartScreen จะแจ้งเตือนเมื่อคุณพยายามดาวน์โหลดซอฟต์แวร์
ที่อาจเป็นอันตราย
ตัวกรอง Cross Site Scripting (XSS)
Internet Explorer 8 ขอแนะนำคุณสมบัติในการตรวจพบรหัสที่เป็นอันตรายบนเว็บไซต์ที่ละเมิด
ความปลอดภัย เพื่อช่วยปกป้องคุณจากการถูกหาผลประโยชน์ที่นำไปสู่การเิปิดเผยข้อมูล
การขโมยคุกกี้ การโจรกรรมบัญชีผู้ใช้/ข้อมูลประจำตัว และอื่นๆ การจู่โจมเหล่านี้เป็นการคุกคาม
ทางออนไลน์ประเภทหลัก เราจึงได้รวม Cross Site Scripting ซึ่งเป็นตัวกรองชนิดใหม่
เพื่อให้คุณออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
การเน้นโดเมน
การเน้นโดเมนทำใ้ห้คุณตีความที่อยู่เว็บต่างๆ (URLs) ได้ง่ายขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ประสงค์ร้าย
และฟิชชิ่งเว็บไซต์ที่พยายามลวงคุณด้วยที่อยู่เว็บซึ่งชวนให้เข้าใจผิด ุคุูณลักษณะนี้จะเน้นสีดำ
ที่ชื่อโดเมนที่ปรากฏในแถบที่อยู่ และส่วนอื่นๆของ URL จะแสดงด้วยสีเทา เพื่อให้ระบุ
คุณลักษณะเฉพาะของเว็บไซต์นั้นๆ ได้ง่ายขึ้น
Data Execution Prevention (DEP) (การป้องกันการดำเนินการข้อมูล)
การป้องกันการดำเนินการข้อมูล (DEP) ที่เปิดการทำงานตามค่าเริ่มต้นของ Internet Explorer 8
ใน Windows Vista Service Pack 1 นั้นเป็นคุณลักษณะเพื่อความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันคอมพิวเตอร์
ของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากไวรัสคอมพิวเตอร์และการคุกคามความปลอดภัยต่างๆ
โดยป้องกันไม่ให้มีการเขียนรหัสบางประเภทลงในพื้นที่หน่วยความจำที่ปฏิบัติการได้
ที่มา http://technology.impaqmsn.com
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553
ล้างค่า Registry ให้คอมฯทำงานไวขึ้น
little registry cleaner เป็นโปรแกรมแบบ portable ที่มี tool ในการใช้งานง่าย ๆ เพื่อกำจัดขยะไฟล์ต่าง ๆ
และทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โปรแกรมจะทำการ scan เครื่องคอมพิวเตอร์
ของคุณเหมือนโปรแกรม scan virus แต่ต่างกันที่โปรแกรมตัวนี้จะตรวจหาไฟล์ที่ไม่จำเป็นต้อง
ใช้งานแทนนั่นเอง โปรแกรมตัวนี้ง่ายต่อการใช้งาน และมีหน้าตาโปรแกรมที่แม้แต่มือใหม่ก็เข้าใจได้
ไม่ยาก ที่สำคัญโปรแกรมตัวนี้ยังฟรีอีกด้วย คุณใส่โปรแกรมตัวนี้ไว้ที่ flash drive แล้วนำไปใช้
ที่ไหนก็ได้เนื่องจากมันเป็นโปรแกรมแบบ portable ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง
คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด little registry cleaner
เมื่อดาวน์โหลดโปรแกรมมาจะได้ zip file มาให้แตก zip ออกเพื่อเปิดเรียกใช้งานโปรแกรมโดยไม่ต้อง install
little registry cleaner มีหน้าตา interface ของโปรแกรมที่ง่ายต่อการใช้งาน ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำ
ให้คุณสามารถใช้งานมันได้ทันทีโดยไม่ต้องศึกษาข้อมูลการใช้งานให้วุ่นวาย
เมื่อเรียกใช้โปรแกรมครั้งแรก โปรแกรมจะบอกให้คุณสร้าง restore point เพื่อให้สามารถ
กู้กลับมาได้หากเกิดข้อผิดพลาดในการลบ registry
จากนั้นคุณสามารถคลิ๊กที่ปุ่ม “scan registry” เพื่อเริ่มต้นการค้นหาได้ทันที
มาเริ่ม scan ระบบกันเลยดีกว่าครับ
ลิขสิทธิบทความของ 2beshop.com
ผู้แทนจำหน่าย hp server และ ibm server
และทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โปรแกรมจะทำการ scan เครื่องคอมพิวเตอร์
ของคุณเหมือนโปรแกรม scan virus แต่ต่างกันที่โปรแกรมตัวนี้จะตรวจหาไฟล์ที่ไม่จำเป็นต้อง
ใช้งานแทนนั่นเอง โปรแกรมตัวนี้ง่ายต่อการใช้งาน และมีหน้าตาโปรแกรมที่แม้แต่มือใหม่ก็เข้าใจได้
ไม่ยาก ที่สำคัญโปรแกรมตัวนี้ยังฟรีอีกด้วย คุณใส่โปรแกรมตัวนี้ไว้ที่ flash drive แล้วนำไปใช้
ที่ไหนก็ได้เนื่องจากมันเป็นโปรแกรมแบบ portable ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง
คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด little registry cleaner
เมื่อดาวน์โหลดโปรแกรมมาจะได้ zip file มาให้แตก zip ออกเพื่อเปิดเรียกใช้งานโปรแกรมโดยไม่ต้อง install
ให้คุณสามารถใช้งานมันได้ทันทีโดยไม่ต้องศึกษาข้อมูลการใช้งานให้วุ่นวาย
เมื่อเรียกใช้โปรแกรมครั้งแรก โปรแกรมจะบอกให้คุณสร้าง restore point เพื่อให้สามารถ
กู้กลับมาได้หากเกิดข้อผิดพลาดในการลบ registry
เพื่อ scan เสร็จเรียบร้อยก็จะแสดงรายการที่มีปัญหาทั้งหมดออกมา ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่า
จะลบทั้งหมด หรือลบแค่บางตัว ซึ่งในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นคุณก็สามารถทำการ restore
ค่ากลับมาได้โดยไม่มีปัญหา จากการทดสอบหลังจากลบค่า registry ที่มีปัญหาคอมพิวเตอร์ทำงาน
ได้ไวขึ้น และตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น
ลิขสิทธิบทความของ 2beshop.com
ผู้แทนจำหน่าย hp server และ ibm server
มีอะไรใน Internet Explorer 8
เมื่อคุณเช็คอีเมลจากอินเทอร์เนตคาเฟ่หรือซื้อของขวัญโดยใช้คอมพิวเตอร์ของครอบครัว
และคุณไม่อยากทิ้งร่องรอยการเรียกดูเว็บไซต์เหล่านี้ไว้
การเรียกดูแบบ InPrivate
เมื่อคุณเช็คอีเมลจากอินเทอร์เนตคาเฟ่หรือซื้อของขวัญโดยใช้คอมพิวเตอร์ของครอบครัว
และคุณไม่อยากทิ้งร่องรอยการเรียกดูเว็บไซต์เหล่านี้ไว้ การเรียกดูแบบ InPrivate
ใน Internet Explorer 8 จะช่วยป้องกันไม่ให้เบราว์เซอร์จดจำประวัติการเรียกดู แฟ้มอินเทอร์เนตชั่วคราว
ข้อมูลฟอร์ม คุกกี้ ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน เพื่อไม่ให้มีหลักฐานการเรียกดูหรือประวัติการค้นหา
หลงเหลืออยู่
คุณสามารถเริ่มใช้การเรียกดูแบบ InPrivate ได้โดยการเปิดแ็ท็บใหม่และเลือก เรียกดูด้วย InPrivate
หรือคลิกปุ่มความปลอดภัยที่มุมขวาบนของหน้าต่างเบราว์เซอร์ เมื่อคุณดำเนินการเสร็จ
Internet Explorer 8 ก็จะเปิดใช้งานเซสชันเบราว์เซอร์ใหม่ซึ่งจะไม่มีการบันทึกข้อมูลใดๆ
รวมทั้งข้อมูลการค้นหาหรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ หากต้องการสิ้นสุดเซสชันการเรียกดู
แบบ InPrivate ก็เพียงแค่ปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์
การกรองแบบ InPrivate
ทุกวันนี้ เว็บไซต์ต่างๆ ได้ดึงเนื้อหาจากแหล่งต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นประโยชน์มหาศาลต่อ
ทั้งผู้บริโภคและเว็บไซต์ ทว่า ผู้ใช้งานมักไม่ได้ตระหนักว่าข้อมูลบางอย่าง ภาพ โฆษณา
และการวิเคราะห์ต่างๆ ถูกจัดหาให้โดยเว็บไซต์อื่น หรือเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นนั้นอาจสามารถ
ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของคุณไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ได้ การกรองแบบ InPrivate จะช่วยใ
ห้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มระดับการควบคุมและตัวเลือกเกี่ยวกับข้อมูลที่เว็บไซต์อื่นอาจใช้
เพื่อติดตามกิจกรรมการเรียกดูของคุณ
การกรองแบบ InPrivate นั้นจะปิดการทำงานตามค่าเริ่มต้น และจะเปิดทำงานตามเซสชัน
แต่ละเซสชัน หากต้องการใช้งานคุณลักษณะดังกล่าว ให้เลือกการกรองแบบ InPrivate
ในเมนูความปลอดภัย หากคุณต้องการเข้าถึงและจัดการตัวเลือกการกรองอื่นๆ สำหรับ
Internet Explorer 8 ให้เลือกการกรองแบบ InPrivate ในเมนูความปลอดภัย หากต้องการสิ้นสุด
เซสชันการเรียกดูแบบ InPrivate ก็เพียงแค่ปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์
หมายเหตุ: เนื่องจากการกรองแบบ InPrivate ได้รับการออกแบบมาให้เฝ้าระวังและบล็อกเนื้อหา
จากเว็บไซต์อื่นที่ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งเมื่อคุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ การบล็อกเนื้อหาจะไม่ทำงาน
นอกจากเนื้อหาดังกล่าวจะปรากฏขึ้นถี่จนถึงระดับที่ตรวจพบ หรือเป็นเนื้อหาที่มีจากเว็บไซต์
ที่คุณเยี่ยมชมโดยตรง นอกจากนั้นกิจกรรมการเีรียกดูเว็บไซต์และเว็บไซต์์ที่คุณเยี่ยมชมยัง
เป็นตัวแปรที่ส่งผลให้ระยะเวลาการดูเนื้อหาก่อนจะถูกบล็อกโดยอัตโนมัติแตกต่างกันอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะบล็อกหรืออนุญาตเนื้อหาใดจากเว็บไซต์อื่น
โดยเลือกตัวเลือกการตั้งค่าการกรองแบบ InPrivate ในเมนูความปลอดภัย
การลบประวัติการเรียกดูขั้นสูง
ตอนนี้ เมื่อคุณลบประวัติการเรียกดู คุณสามารถเลือกจัดเก็บคุกกี้และไฟล์อินเทอร์เน็ตชั่วคราว
ของเว็บไซต์ในโฟลเดอร์รายการโปรดของคุณ ซึ่งช่วยปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของคุณ
พร้อมกับรักษาข้อมูลของคุณในเว็บไซต์โปรดที่คุณไว้วางใจ การกำหนดลักษณะและคุกกี้
ของคุณที่ถูกเก็บไว้นั้นจะช่วยให้คุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่คุณวางใจได้รวดเร็วและมั่นใจยิ่งขึ้น
Credit : http://technology.impaqmsn.com/
และคุณไม่อยากทิ้งร่องรอยการเรียกดูเว็บไซต์เหล่านี้ไว้
การเรียกดูแบบ InPrivate
เมื่อคุณเช็คอีเมลจากอินเทอร์เนตคาเฟ่หรือซื้อของขวัญโดยใช้คอมพิวเตอร์ของครอบครัว
และคุณไม่อยากทิ้งร่องรอยการเรียกดูเว็บไซต์เหล่านี้ไว้ การเรียกดูแบบ InPrivate
ใน Internet Explorer 8 จะช่วยป้องกันไม่ให้เบราว์เซอร์จดจำประวัติการเรียกดู แฟ้มอินเทอร์เนตชั่วคราว
ข้อมูลฟอร์ม คุกกี้ ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน เพื่อไม่ให้มีหลักฐานการเรียกดูหรือประวัติการค้นหา
หลงเหลืออยู่
คุณสามารถเริ่มใช้การเรียกดูแบบ InPrivate ได้โดยการเปิดแ็ท็บใหม่และเลือก เรียกดูด้วย InPrivate
หรือคลิกปุ่มความปลอดภัยที่มุมขวาบนของหน้าต่างเบราว์เซอร์ เมื่อคุณดำเนินการเสร็จ
Internet Explorer 8 ก็จะเปิดใช้งานเซสชันเบราว์เซอร์ใหม่ซึ่งจะไม่มีการบันทึกข้อมูลใดๆ
รวมทั้งข้อมูลการค้นหาหรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ หากต้องการสิ้นสุดเซสชันการเรียกดู
แบบ InPrivate ก็เพียงแค่ปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์
ทุกวันนี้ เว็บไซต์ต่างๆ ได้ดึงเนื้อหาจากแหล่งต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นประโยชน์มหาศาลต่อ
ทั้งผู้บริโภคและเว็บไซต์ ทว่า ผู้ใช้งานมักไม่ได้ตระหนักว่าข้อมูลบางอย่าง ภาพ โฆษณา
และการวิเคราะห์ต่างๆ ถูกจัดหาให้โดยเว็บไซต์อื่น หรือเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นนั้นอาจสามารถ
ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของคุณไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ได้ การกรองแบบ InPrivate จะช่วยใ
ห้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มระดับการควบคุมและตัวเลือกเกี่ยวกับข้อมูลที่เว็บไซต์อื่นอาจใช้
เพื่อติดตามกิจกรรมการเรียกดูของคุณ
การกรองแบบ InPrivate นั้นจะปิดการทำงานตามค่าเริ่มต้น และจะเปิดทำงานตามเซสชัน
แต่ละเซสชัน หากต้องการใช้งานคุณลักษณะดังกล่าว ให้เลือกการกรองแบบ InPrivate
ในเมนูความปลอดภัย หากคุณต้องการเข้าถึงและจัดการตัวเลือกการกรองอื่นๆ สำหรับ
Internet Explorer 8 ให้เลือกการกรองแบบ InPrivate ในเมนูความปลอดภัย หากต้องการสิ้นสุด
เซสชันการเรียกดูแบบ InPrivate ก็เพียงแค่ปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์
หมายเหตุ: เนื่องจากการกรองแบบ InPrivate ได้รับการออกแบบมาให้เฝ้าระวังและบล็อกเนื้อหา
จากเว็บไซต์อื่นที่ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งเมื่อคุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ การบล็อกเนื้อหาจะไม่ทำงาน
นอกจากเนื้อหาดังกล่าวจะปรากฏขึ้นถี่จนถึงระดับที่ตรวจพบ หรือเป็นเนื้อหาที่มีจากเว็บไซต์
ที่คุณเยี่ยมชมโดยตรง นอกจากนั้นกิจกรรมการเีรียกดูเว็บไซต์และเว็บไซต์์ที่คุณเยี่ยมชมยัง
เป็นตัวแปรที่ส่งผลให้ระยะเวลาการดูเนื้อหาก่อนจะถูกบล็อกโดยอัตโนมัติแตกต่างกันอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะบล็อกหรืออนุญาตเนื้อหาใดจากเว็บไซต์อื่น
โดยเลือกตัวเลือกการตั้งค่าการกรองแบบ InPrivate ในเมนูความปลอดภัย
การลบประวัติการเรียกดูขั้นสูง
ตอนนี้ เมื่อคุณลบประวัติการเรียกดู คุณสามารถเลือกจัดเก็บคุกกี้และไฟล์อินเทอร์เน็ตชั่วคราว
ของเว็บไซต์ในโฟลเดอร์รายการโปรดของคุณ ซึ่งช่วยปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของคุณ
พร้อมกับรักษาข้อมูลของคุณในเว็บไซต์โปรดที่คุณไว้วางใจ การกำหนดลักษณะและคุกกี้
ของคุณที่ถูกเก็บไว้นั้นจะช่วยให้คุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่คุณวางใจได้รวดเร็วและมั่นใจยิ่งขึ้น
Credit : http://technology.impaqmsn.com/
ควบคุมการใช้งาน Windows Service
เวลาที่คุณต้องการจะทำงานกับ Windows Service ไม่ว่าจะเป็นการดูรายการ Service
ที่กำลังทำงานอยู่, หยุดการทำงาน Service หรือเปลี่ยนการตั้งค่า Service โดยไม่ต้อง Restart ระบบ
ในการทำงานดังกล่าวกับ Windows Service นั้นเรามีโปรแกรมตัวหนึ่งที่ชื่อ SrvMan
ซึ่งสามารถช่วยให้การทำงานงานขึ้น >>คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด SrvMan<< โปรแกรมตัวนี้
มีขนาดไฟล์เล็กและเป็นแบบ portable ซึ่งมี Graphic Interface แสดงผล หรือจะเลือกใช้งาน
ผ่าน Command Line ก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตา่มโปรแกรมในการจัดการ Windows Service ผู้ใช้
จะต้องมีความเข้าใจระบบ Windows พอสมควรจึงจะใช้ได้อย่างปลอดภัยเพราะการลบ
การทำงาน Service บางตัวอาจทำให้เกิดปัญหาในการทำงานของระบบได้ ภาพข้างล่าง
แสดงการเลือก start mode คำสั่ง command line 1. สร้าง Service srvman.exe add [service name]
[display name] [/type:] [/start:] [/interactive:no] [...]
เวลาที่คุณต้องการจะทำงานกับ windows service ไม่ว่าจะเป็นการดูรายการ service
ที่กำลังทำงานอยู่, หยุดการทำงาน service หรือเปลี่ยนการตั้งค่า service โดยไม่ต้อง restart ระบบ
ในการทำงานดังกล่าวกับ windows service นั้นเรามีโปรแกรมตัวหนึ่งที่ชื่อ srvman
ซึ่งสามารถช่วยให้การทำงานงานขึ้น
คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด
โปรแกรมตัวนี้มีขนาดไฟล์เล็กและเป็นแบบ portable ซึ่งมี graphic interface แสดงผล
หรือจะเลือกใช้งานผ่าน command line ก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตา่มโปรแกรมในการจัดการ windows service ผู้ใช้จะต้องมีความเข้าใจระบบ windows
พอสมควรจึงจะใช้ได้อย่างปลอดภัยเพราะการลบการทำงาน service บางตัวอาจทำให้
เกิดปัญหาในการทำงานของระบบได้
ภาพข้างล่างแสดงการเลือก start mode
คำสั่ง command line
1. สร้าง service
srvman.exe add [service name] [display name] [/type:] [/start:] [/interactive:no] [/overwrite:yes]
service name เป็นชื่อที่่ windows ใช้เป็นตัวอ้างอิงกับ service display name คือชื่อที่แสดง
ใน windows service snap-in โดย default แล้วทั้งสองชื่อจะถูกสร้างจากไฟล์ประเภท .exe หรือ .sys
ประเภทของ service
drv - สร้าง kernel driver
exe - สร้าง win32 service
sharedexe - สร้าง win32 service ที่มี shared executable file
fsd - สร้าง file system driver service
app - สร้าง service ประเภท windows application
ประเภทของ start mode
boot - service เริ่มทำงานเมื่อ os ถึงเรียกทำงาน
sys - service เริ่มทำงานเมื่อ ioinitsystem() ถูกเรียกใช้งาน
auto - service เริ่มทำงานผ่าน service control manager ในระหว่างที่มีการ startup
man - service เร่ิมทำงานเมื่อถูกสั่งแบบ manual (start/stop)
dis - service จะไม่ถูกเรียกให้เริ่มทำงาน
โดย default แล้ว win32 จะสร้าง interactive service หากต้องการสร้าง non-interactive service
คุณจะต้องเลือกค่า interactive:no จึงจะสามารถทำได้ และถ้า service ใด ๆ มีอยูก่อนแล้ว srvman
จะรายงาน error ให้ทราบ อย่างไรก็ตามหากคุณใช้ overwrite:yes ระบบจะทำงานทับค่า service
เก่าเมื่อซ้ำกันแทนที่จะรายงาน error
2. การลบ service
srvman.exe delete
ให้คุณใส่ internal service name ไม่ใช่ display nme
3. start/stop/restart
คุณสามารถควบคุมคำสั่ง start/stop/restart โดยใช้ command lind
srvman.exe start [/nowait] [/delay:]
srvman.exe stop [/nowait] [/delay:]
srvman.exe restart [/delay:]
4. ทดสอบ legacy drivers
srvman.exe run [service name] [/copy:yes] [/overwrite:no] [/stopafter:]
หากคุณไม่ต้องการจะใช้ command line ทั้ง 4 ข้อข้างบนนี้ก็สามารถใช้งานผ่านหน้าโปรแกรม
ซึ่งมี gui รองรับการใช้งานได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว
ลิขสิทธิบทความของ 2beshop.com
ผู้แทนจำหน่าย ibm storage และ server
ที่กำลังทำงานอยู่, หยุดการทำงาน Service หรือเปลี่ยนการตั้งค่า Service โดยไม่ต้อง Restart ระบบ
ในการทำงานดังกล่าวกับ Windows Service นั้นเรามีโปรแกรมตัวหนึ่งที่ชื่อ SrvMan
ซึ่งสามารถช่วยให้การทำงานงานขึ้น >>คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด SrvMan<< โปรแกรมตัวนี้
มีขนาดไฟล์เล็กและเป็นแบบ portable ซึ่งมี Graphic Interface แสดงผล หรือจะเลือกใช้งาน
ผ่าน Command Line ก็ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตา่มโปรแกรมในการจัดการ Windows Service ผู้ใช้
จะต้องมีความเข้าใจระบบ Windows พอสมควรจึงจะใช้ได้อย่างปลอดภัยเพราะการลบ
การทำงาน Service บางตัวอาจทำให้เกิดปัญหาในการทำงานของระบบได้ ภาพข้างล่าง
แสดงการเลือก start mode คำสั่ง command line 1. สร้าง Service srvman.exe add [service name]
[display name] [/type:] [/start:] [/interactive:no] [...]
เวลาที่คุณต้องการจะทำงานกับ windows service ไม่ว่าจะเป็นการดูรายการ service
ที่กำลังทำงานอยู่, หยุดการทำงาน service หรือเปลี่ยนการตั้งค่า service โดยไม่ต้อง restart ระบบ
ในการทำงานดังกล่าวกับ windows service นั้นเรามีโปรแกรมตัวหนึ่งที่ชื่อ srvman
ซึ่งสามารถช่วยให้การทำงานงานขึ้น
คลิ๊กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด
โปรแกรมตัวนี้มีขนาดไฟล์เล็กและเป็นแบบ portable ซึ่งมี graphic interface แสดงผล
หรือจะเลือกใช้งานผ่าน command line ก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตา่มโปรแกรมในการจัดการ windows service ผู้ใช้จะต้องมีความเข้าใจระบบ windows
พอสมควรจึงจะใช้ได้อย่างปลอดภัยเพราะการลบการทำงาน service บางตัวอาจทำให้
เกิดปัญหาในการทำงานของระบบได้
1. สร้าง service
srvman.exe add [service name] [display name] [/type:] [/start:] [/interactive:no] [/overwrite:yes]
service name เป็นชื่อที่่ windows ใช้เป็นตัวอ้างอิงกับ service display name คือชื่อที่แสดง
ใน windows service snap-in โดย default แล้วทั้งสองชื่อจะถูกสร้างจากไฟล์ประเภท .exe หรือ .sys
ประเภทของ service
drv - สร้าง kernel driver
exe - สร้าง win32 service
sharedexe - สร้าง win32 service ที่มี shared executable file
fsd - สร้าง file system driver service
app - สร้าง service ประเภท windows application
ประเภทของ start mode
boot - service เริ่มทำงานเมื่อ os ถึงเรียกทำงาน
sys - service เริ่มทำงานเมื่อ ioinitsystem() ถูกเรียกใช้งาน
auto - service เริ่มทำงานผ่าน service control manager ในระหว่างที่มีการ startup
man - service เร่ิมทำงานเมื่อถูกสั่งแบบ manual (start/stop)
dis - service จะไม่ถูกเรียกให้เริ่มทำงาน
โดย default แล้ว win32 จะสร้าง interactive service หากต้องการสร้าง non-interactive service
คุณจะต้องเลือกค่า interactive:no จึงจะสามารถทำได้ และถ้า service ใด ๆ มีอยูก่อนแล้ว srvman
จะรายงาน error ให้ทราบ อย่างไรก็ตามหากคุณใช้ overwrite:yes ระบบจะทำงานทับค่า service
เก่าเมื่อซ้ำกันแทนที่จะรายงาน error
2. การลบ service
srvman.exe delete
ให้คุณใส่ internal service name ไม่ใช่ display nme
3. start/stop/restart
คุณสามารถควบคุมคำสั่ง start/stop/restart โดยใช้ command lind
srvman.exe start [/nowait] [/delay:]
srvman.exe stop [/nowait] [/delay:]
srvman.exe restart [/delay:]
4. ทดสอบ legacy drivers
srvman.exe run [service name] [/copy:yes] [/overwrite:no] [/stopafter:]
หากคุณไม่ต้องการจะใช้ command line ทั้ง 4 ข้อข้างบนนี้ก็สามารถใช้งานผ่านหน้าโปรแกรม
ซึ่งมี gui รองรับการใช้งานได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว
ลิขสิทธิบทความของ 2beshop.com
ผู้แทนจำหน่าย ibm storage และ server
การ Save ไฟล์ Flash จากเว็บต่าง ๆ
Save ไฟล์ Flash หลาย ๆ ท่านที่เห็นไฟล์ Flash ตามเว็บต่าง ๆ แล้วอยากจะ Save เก็บไว้
แต่ไม่สามารถ Save ได้
เนื่องจากไม่มีคำสั่ง Save pictue as วันนี้ผมจะมาแนะนำการ Save ไฟล์ Flash กันง่าย ๆ ครับ
แต่ต้องมีโปรแกรมช่วยซึ่งโปรแกรมนั้ก็คือ FlashCapture Download คลิกที่นี่ เมื่อ Download
พร้อมทำการติดตั้ง (ต้อง Restart ก่อน) จากนั้นให้เข้าไปที่เว็บที่ต้องการจะ Save Flash จากนั้น
คลิกขวาที่รูปที่ต้องการ Save เลือก Save Flash AS.. จากนั้นเลือกว่าจะเก็บไว้ที่ไหน และตั้งชื่อไฟล์
แล้วคลิก Save เพียงเท่านี้ก็สามารถ Save ไฟล์ Flash ได้แล้วครับ ง่ายจริง ๆ
แต่ไม่สามารถ Save ได้
เนื่องจากไม่มีคำสั่ง Save pictue as วันนี้ผมจะมาแนะนำการ Save ไฟล์ Flash กันง่าย ๆ ครับ
แต่ต้องมีโปรแกรมช่วยซึ่งโปรแกรมนั้ก็คือ FlashCapture Download คลิกที่นี่ เมื่อ Download
พร้อมทำการติดตั้ง (ต้อง Restart ก่อน) จากนั้นให้เข้าไปที่เว็บที่ต้องการจะ Save Flash จากนั้น
คลิกขวาที่รูปที่ต้องการ Save เลือก Save Flash AS.. จากนั้นเลือกว่าจะเก็บไว้ที่ไหน และตั้งชื่อไฟล์
แล้วคลิก Save เพียงเท่านี้ก็สามารถ Save ไฟล์ Flash ได้แล้วครับ ง่ายจริง ๆ
Credit : www.bcoms.net
รวมคำสั่ง DOS เวลาซ่อมคอม
ความจำเป็นในการใช้ (Dos) ยังคงมีอยู่ แม้ว่าในปัจจุบันบทบาทของมันจะเริ่มลดลงไปมาก
หลังจาก Windows เริ่มมีความสมบูรณ์และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งดอสเลย
แต่ถ้าเมื่อไรเครื่องของคุณยังไม่มี Windows หรือเข้าไปใช้งาน Windows ไม่ได้
คำสั่งดอสก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการใช้คำสั่งดอสจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เช่นการ
การซ่อมแซมไฟล์ที่เสีย ก๊อปปี้ไฟล์ข้อมูล แก้ปัญหา Bad Sector ฯลฯ ดังนี้เราควรทราบคำสั่ง
บางคำสั่งที่จำเป็นไว้บ้างเพื่อนำไปใช้งานในยามฉุกเฉิน
Dos ย่อมาจาก Disk Operating System เป็นระบบปฎิบัติการรุ่นแรก ๆ ซึ่งการทำงานของเครื่อง
คอมพิวเตอร์จะมีการทำงานบนระบบปฎิบัติการดอสเป็นหลัก โดยการทำงานส่วนใหญ่
จะเป็นการทำงานโดยการใช้คำสั่งผ่านบรรทัดคำสั่ง (Command Line) ที่นิยมใช้กันคือ MS-Dos
ซึ่งต่อมาระบบปฎิบัติการดอสจะถูกซ่อนอยู่ใน Windows ลองมาดูกันว่าคำสั่งไหนบ้าง
ที่เราควรรู้จักวิธีใช้งาน
CD คำสั่งเข้า-ออก ในไดเร็คทอรี่
CD (Change Directory) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนไดเร็คทอรี่ในโหมดดอส เช่น ถ้าต้องการรัน
คำสั่งเกมส์ที่เล่นในโหมดดอส ซึ่งอยู่ในไดเร็คทอรี MBK ก็ต้องเข้าไปในไดเร็คทอรีดังกล่าวเสี่ยก่อน
จึงจะรันคำสั่งเปิดโปรแกรมเกมส์ได้
รูปแบบคำสั่ง
CD [drive :] [path]
CD[..]
เมื่อเข้าไปในไดเร็คทอรีใดก็ตาม แล้วต้องการออกจากไดเร็คทอรีนั้น ก็เพียงใช้คำสั่ง CD\
เท่านั้นแต่ถ้าเข้าไปในไดเร็คทอรีย่อยหลาย ๆ ไดเร็คทอรี ถ้าต้องการออกมาที่ไดรว์ซึ่งเป็น
ระดับสูงสุด ให้ใช้คำสั่ง CD\ เพราะคำสั่ง CD.. จะเป็นการออกจากไดเร็คทอรีได้เพียงลำดับเดียวเท่านั้น
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
CD\ กลับไปที่ Root ระดับสูงสุด เช่น ถ้าเดิมอยู่ที่ C:\>docs\data> หลังจากใช้คำสั่งนี้ก็จะย้อนกลับ
ไปที่ C:\ >
CD.. กลับไปหนึ่งไดเร็คทอรี เช่น ถ้าเดิมอยู่ที่ C:\windows\command> หลังจากนั้น ใช้คำสั่งนี้
ก็จะก็จะย้อนกลับไปที่ C:\windows>
CHKDSK (CHECK DISK) คำสั่งตรวจเช็คพื้นที่ดิสก์
CHKDSK เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลของหน่วยความจำ และการใช้งานดิสก์
หรือฮาร์ดดิสก์ การรายงานผลของคำสั่งนี้จะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ไดเร็คทอรี และ FAT ของดิสก์
หรือไฟล์ เพื่อหาข้อมผิดพลาดของการเก็บบันทึก ถ้า CHKDSK พบว่ามี Lost Cluster
จะยังไม่แก้ไขใด ๆ นอกจากจะใช้สวิตซ์ /f กำหนดให้ทำการเปลี่ยน Lost Cluster ให้เป็นไฟล์
ที่มีชื่อไฟล์เป็น FILE0000.CHK ถ้าพบมากว่า 1 ไฟล์ อันต่อไปจะเป็น FILE0002.CHK ไปเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ยังสามารถรายงานปัญหาที่ตรวจพบได้อีก
อย่างเช่น จำนวน Bad Sector , Cross-ling Cluster (หมายถึง Cluster ที่มีไฟล์มากกว่าหนึ่งไฟล์
แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ข้อมูลใน Cluster จะเป็นของไฟล์ได้เพียงไฟล์เดียวเท่านั้น)
รูปแบบคำสั่ง
CHKDSK [drive:][[path]filename] [/F] [/V]
[drive:][path] กำหนดไดรว์ และไดเร็ทอรีที่ต้องการตรวบสอบ
filename ชื่อไฟล์ที่ต้องการให้ตรวจสอบ
/F สั่งให้ Fixes Errors ทันทีที่ตรวจพบ
/V ขณะที่กำลังตรวจสอบ ให้แสดงชื่อไฟล์และตำแหน่งของดิสก์บนหน้าจอด้วย
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\WINDOWS>CHKDSK D: ตรวจสอบข้อมูลการใช้งานดิสก์ในไดรว์ D
C:\>CHKDSK C: /F ตรวจสอบ ไดรว์ C พร้อมกับซ่อมแซมถ้าตรวจเจอปัญหา
COPY คำสั่งคัดลอกไฟล์
Copy เป็นคำสั่งที่ใช้ในการคัดลอกไฟล์ จากไดเร็คทอรีหนึ่งไปยังไดเร็คทอรีที่ต้องการ
คำสั่งนี้มีประโยชน์มากควรหัดใช้ให้เป็น เพราะสามารถคัดลอกไฟล์ได้ยามที่ Windows มีปัญหา
รูปแบบคำสั่ง
COPY [Source] [Destination]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\COPY A:README.TXT คัดลอกไฟล์ชื่อ README.TXT จากไดรว์ A ไปยังไดรว์ C
C:\COPY README.TXT A: คัดลอกไฟล์ชื่อ README.TXT จากไดรว์ C ไปยังไดรว์ A
C:\INFO\COPY A:*.* คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในไดรว์ A ไปยังไดเร็คทอรี INFO ในไดรว์ C
A:\COPY *.* C:INFO คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในไดรว์ A ไปยังไดเร็คทอรี INFO ในไดรว์ C
DIR คำสั่งแสดงไฟล์และไดเร็คทอรีย่อย
เป็นคำสั่งที่ใช้แสดงรายชื่อไฟล์และไดเร็คทอรี คำสั่งนี้ถือเป็นคำสั่งพื้นฐานที่ต้องใช้อยู่เป็นประจำ
เพื่อจะได้รู้ว่าในไดรว์หรือไดเร็คทอรีนั้น ๆ มีไฟล์หรือไดเร็คทอรีอะไรอยู่บ้าง
รูปแบบคำสั่ง
DIR /P /W
/P แสดงผลทีละหน้า
/W แสดงในแนวนอนของจอภาพ
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>DIR ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีทั้งหมดในไดรว์ C
C:\>DIR /W ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีทั้งหมดในไดรว์ C ในแนวนอน
C:\>INFO\DIR /P ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีย่อยในไดเร็คทอรี INFO โดยแสดงทีละหน้า
C:\>INFO\DIR *.TEX ให้แสดงรายชื่อไฟล์ทั้งหมดในไดเร็คทอรี INFO เฉพาะที่มีนามสกุล TXT เท่านั้น
C:\> DIR BO?.DOC ให้แสดงรายชื่อไฟล์ในไดรว์ C ที่ขึ้นต้นด้วย BO และมีนามสกุล DOC ในตำแหน่ง ? จะเป็นอะไรก็ได้
DEL (DELETE) คำสั่งลบไฟล์
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการลบไฟล์ ซึ่งต้องระมัดระวังในการใช้คำสั่งนี้ให้มาก
รูปแบบคำสั่ง
DEL [ชื่อไฟล์ที่ต้องการลบ]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>DEL BOS.VSD ลบไฟล์ในไดรว์ C ที่ชื่อ BOS.VSD
C:\>PROJECT\DEL JOB.XLS ลบไฟล์ชื่อ JOB.XLS ที่อยู่ในไดเร็คทอรี PROJEC ของไดรว์ C
D:\>DEL *.TXT ลบทุกไฟล์ที่มีนามสกุล TXT ในไดรว์ D
FDISK ( Fixed Disk)
เป็นไฟล์โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการกับพาร์ติชั่นของฮาร์ดิสก์ ใช้ในการสร้าง ลบ กำหนดไดรว์
ที่ทำหน้าที่บูตเครื่อง แสดงรายละเอียดของพาร์ติชันบนฮาร์ดิสก์ จะเห็นว่าเป็นโปรแกรมอีกตัวหนึ่ง
ที่ต้องทำความรู้จักและศึกษาวิธีใช้งาน เพราะสามารถใช้ประโยชน์ในการสร้าง
ฮาร์ดดิสก์ให้มีหลาย ๆ ไดรว์ก็ได้
รูปแบบคำสั่ง
FDISK /STATUS
ตัวอย่างการใช้งานโปรแกรม
A:>\FDISK เริ่มใช้งานโปรแกรม
A:\>FDISK /STATUS แสดงข้อมุลเกี่ยวกับพาร์ติชันบนฮาร์ดดิสก์
FORMAT คำสั่งฟอร์แมตเครื่อง
เป็นคำสั่งใช้จัดรูปแบบของดิสก์ใหม่ คำสั่งนี้ปกติจะใช้หลังการแบ่งพาร์ชันด้วยคำสั่ง FDISK
เพื่อให้สามารถใช้งานฮาร์ดดดดิสก์ได้ หรือฝช้ล้างข้อมูลกรณีต้องการเคลียร์ข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดิสก์
รูปแบบคำสั่ง
FORMAT drive: [/switches]
/Q ให้ฟอร์แมตแบบเร็ว ซึ่งจะใช้เวลาน้อยลง (Quick Format)
/S หลังฟอร์แมตแล้วให้คัดลอกไฟล์ระบบลงไปในไดรว์นั้นด้วย เพื่อให้ไดรว์ที่ทำการฟอร์แมต
สามารถบูตได้
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
A:\>FORMAT C: /S ฟอร์แมตไดรว์ C แล้วให้คัดลอกไฟล์ระบบลงไปในไดรว์ด้วย
C:\>FORMAT A: /Q ฟอร์แมตไดรว์ A แบบ Quick Format
MD คำสั่งสร้างไดเร็คทอรี
MD (Make Directory) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการสร้างไดเร็คทอรี คำสั่งนี้จะช่วยให้สามารถสร้างไดเร็คทอรี
ชื่ออะไรก็ได้ที่เราต้องการ แต่ต้องมีการตั้งชื่อที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของ Dos
รูปแบบคำสั่ง
MD [drive:] path
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
D:\> MD TEST สร้างไดเร็คทอรี TEST ขึ้นมาในไดรว์ D
D:\>DOC\MD TEST สร้างไดเร็คทอรีที่ชื่อ TEST ขึ้นมาภายในไดเร็คทอรี DOC
REN (RENAME) คำสั่งเปลี่ยนชื่อไฟล์
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนชื่อไฟล์ และส่วนขยาย โดยคำสั่ง REN นี้ไม่สามารถใช้เปลี่ยนชื่อ
ไดเร็คทอรีได้
รูปแบบคำสั่ง
REN [ชื่อไฟล์เดิมล [ชื่อไฟล์ใหม่]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\REN BOS.DOC ANN.DOC เปลี่ยนชื่อไฟล์ BOS.DOC ในไดรว์ C เป็น ANN.DOC
C:\REN C:\MAYA\BOS.DOC PEE.DOC เปลี่ยนชื่อไฟล์ BOS.DOC ในไดเร็คทอรี MAYA
ให้เป็น PEE.DOC
C:\REN A:*.*TEX *.OLD เปลี่ยนส่วนขยายของไฟล์ชนิด TXT ทุกไฟล์ในไดรว์ A ให้เป็น OLD
SCANDISK
คำสั่ง SCANDISK เป็นคำสั่งตรวจสอบพื่นที่ฮาร์ดดิสก์ สามารถใช้ในการตรวบสอบปัญหาต่าง ๆ
ได้ และเมื่อ SCANDISK ตรวจพบปํญหา จะมีทางเลือกให้ 3 ทางคือ FIX IT , Don't Fix IT
และ More Info ถ้าไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นให้เลือก More Info เพื่อขอข้อมูลเพิ่มก่อนตัดสินใจต่อไป
ถ้าเลือก FIX IT จะเป็นการสั่งให้ Scandisk ทำการแก้ไขปัญหาที่พบ ถ้าการซ่อมแซมสำเร็จโปรแกรม
จะมีรายงานที่จอภาพให้ทราบ ส่วน Don't Fix IT คือให้ข้ามปัญหาที่พบไปโดยไม่ต้องทำการแก้ไข
รูปแบบคำสั่ง
SCANDISK [Drive:]/AUTOFIX
/AUTOFIX ให้แก้ไขปัญหาโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
A:\>SCANDISK C: ทำการตรวจสอบปัญหาในไดรว์ C
A:\>SCANDISK D:/AUTOFIX ทำการตรวจสอบปัญหาในไดรว์ D และแก้ไขอัตโนมัติ
Type คำสั่งดูข้อมูลในไฟล์
Type เป็นคำสั่งที่ใช้แสดงเนื้อหาภายในไฟล์บนจอภาพ คำสั่งนี้จะใช้ได้กับไฟล์แบบ Text
ส่วนไฟล์โปรแกรมต่าง ๆ จะไม่สามารถอ่านได้
รูปแบบคำสั่ง
TYPE [ชื่อไฟล์ที่ต้องการอ่าน]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>Type AUTOEXEC.BAT แสดงเนื้อหาภายในไฟล์ AUTOEXEC.BAT
C:\>NORTON\TYPE README.TXT แสดงเนื้อหาภายในไฟล์ README.TXT
ในไดเร็คทอรี NORTON
XCOPY คำสั่งคัดลอกทั้งไดเร็คทอรีและทั้งหมดในไดเร็คทอรี
XCOPY เป็นคำสั่งที่ใช้ในการคัดลอกไฟล์ได้เหมือนคำสั่ง COPY แต่ทำงานได้เร็วกว่า
และสามารถคัดลอก ได้ทั้งไดเร็คทอรีและไดเร็คทอรีย่อย
รูปแบบคำสั่ง
XCOPY [ต้นทาง] [ปลายทาง] /S /E
/E ให้คัดลอกไดเร็คทอรีย่อยทั้งหมดรวมถึงไดเร็คทอรีย่อยที่ว่างเปล่าด้วย
/S ให้คัดลอกไดเร็คทอรีย่อยที่ไม่ว่างเปล่าทั้งหมด
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>XCOPY BACKUP F: /S /E คัดลอกทุกไฟล์และทุกไดเร็คทอรีย่อย BACKUP ไปไว้ในไดรว์ F
C:\>PRINCE>XCOPY *.VSD A: คัดลอกทุกไฟล์ที่มีนามสกุล VSD ในไดเร็คทอรี PRINCE
ไปที่ไดรว์ A
ข้อความแจ้งปัญหาในดอส
ในการทำงานบนดอสบางครั้งก็เกิดปัญหาได้บ่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งการเกิดปัญหาแต่ละครั้ง
ก็จะมีข้อความแจ้งให้ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มีสาเหตุจากอะไร ต่อไปนี้เป็นข้อความแจ้งปัญหา
ที่มักพบได้บ่อย ๆ มีดังนี้
Abort, Retry, Fail ?
จะพบได้ในการณีที่ไดรว์ไม่มีแผ่นดิสก์อยุ่แล้วเรียกใช้ข้อมูลจากไดรว์นั้น การแก้ไขก็นำแผ่นดิสก์
ที่ต้องการใช้มาใส่เข้าไป
กดปุ่ม < R > (Retry) : การทำงานจะทำต่อจากงานที่ค้างอยู่ก่อนเกิดความผิดพลาด
กดปุ่ม < A > (Abort) : รอรับคำสั่งจะไปอยู่ในไดรว์ที่สั่งงานล่าสุด
กดปุ่ม < F > (Fail) : เมื่อต้องการยกเลิกการทำงาน และเปลี่ยนไดรว์ใหม่
Bad Command or file name : ใช้คำสั่งผิดหรือไฟล์ที่เรียกใช้งานนั้นไม่สามารถเรียกใช้ได้ การแก้ไข
ตรวจสอบบรรทัดคำสั่งว่าถูกต้องหรือไม่ เช่น พิมพ์คำสั่งหรือชื่อไฟล์ถูกต้องหรือไม่ แล้วลองรัน
คำสั่งดูใหม่อีกครั้ง อาจเกี่ยวข้องกับเวอร์ชันของดอสไม่มีคำสั่งนั้นก็ได้
File not found : ไม่สามารถหาไฟล์นั้นพบ อาจไม่มีไฟล์นั้น หรืออาจพิมพ์ชื่อไฟล์นั้น
ผิดจากที่ต้องการ นอกจากนี้อาจเกิดจากพาธ (Path) ที่สั่งงานไม่มีไฟล์นั้น
Insufficient memory หรือ Out of memory Insufficient memory : หน่วยความจำไม่พอต่อความต้องการ
ของโปรแกรม
Out of memory : โปรแกรมเริ่มทำงานไปแล้วบางส่วนแล้วหน่วยความจำไม่พอ
ระบบจึงต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ
Directory already exits : เกิดขึ้นเมื่อสร้างไดเร็คทอรีแล้วไปซ้ำกับซื่อที่มีอยู่แล้วในพาธเดียวกัน
Duplicate file ot file not found : ถ้าเปลี่ยนชื่อไฟล์ไปซ้ำกับชื่อที่มีอยู่จะทำไม่ได้และจะแจ้งเตือน
ดังข้อความดังกล่าว
InSufficient Disk space : ข้อความนี้จะเกิดขึ้นเมื่อดิสก์ไม่เพียงพอต่อการเก็บข้อมูล
วิธีแก้ ลองใช้ดิสก์อื่นหรือลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออก
หลังจาก Windows เริ่มมีความสมบูรณ์และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งดอสเลย
แต่ถ้าเมื่อไรเครื่องของคุณยังไม่มี Windows หรือเข้าไปใช้งาน Windows ไม่ได้
คำสั่งดอสก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการใช้คำสั่งดอสจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เช่นการ
การซ่อมแซมไฟล์ที่เสีย ก๊อปปี้ไฟล์ข้อมูล แก้ปัญหา Bad Sector ฯลฯ ดังนี้เราควรทราบคำสั่ง
บางคำสั่งที่จำเป็นไว้บ้างเพื่อนำไปใช้งานในยามฉุกเฉิน
Dos ย่อมาจาก Disk Operating System เป็นระบบปฎิบัติการรุ่นแรก ๆ ซึ่งการทำงานของเครื่อง
คอมพิวเตอร์จะมีการทำงานบนระบบปฎิบัติการดอสเป็นหลัก โดยการทำงานส่วนใหญ่
จะเป็นการทำงานโดยการใช้คำสั่งผ่านบรรทัดคำสั่ง (Command Line) ที่นิยมใช้กันคือ MS-Dos
ซึ่งต่อมาระบบปฎิบัติการดอสจะถูกซ่อนอยู่ใน Windows ลองมาดูกันว่าคำสั่งไหนบ้าง
ที่เราควรรู้จักวิธีใช้งาน
CD คำสั่งเข้า-ออก ในไดเร็คทอรี่
CD (Change Directory) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนไดเร็คทอรี่ในโหมดดอส เช่น ถ้าต้องการรัน
คำสั่งเกมส์ที่เล่นในโหมดดอส ซึ่งอยู่ในไดเร็คทอรี MBK ก็ต้องเข้าไปในไดเร็คทอรีดังกล่าวเสี่ยก่อน
จึงจะรันคำสั่งเปิดโปรแกรมเกมส์ได้
รูปแบบคำสั่ง
CD [drive :] [path]
CD[..]
เมื่อเข้าไปในไดเร็คทอรีใดก็ตาม แล้วต้องการออกจากไดเร็คทอรีนั้น ก็เพียงใช้คำสั่ง CD\
เท่านั้นแต่ถ้าเข้าไปในไดเร็คทอรีย่อยหลาย ๆ ไดเร็คทอรี ถ้าต้องการออกมาที่ไดรว์ซึ่งเป็น
ระดับสูงสุด ให้ใช้คำสั่ง CD\ เพราะคำสั่ง CD.. จะเป็นการออกจากไดเร็คทอรีได้เพียงลำดับเดียวเท่านั้น
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
CD\ กลับไปที่ Root ระดับสูงสุด เช่น ถ้าเดิมอยู่ที่ C:\>docs\data> หลังจากใช้คำสั่งนี้ก็จะย้อนกลับ
ไปที่ C:\ >
CD.. กลับไปหนึ่งไดเร็คทอรี เช่น ถ้าเดิมอยู่ที่ C:\windows\command> หลังจากนั้น ใช้คำสั่งนี้
ก็จะก็จะย้อนกลับไปที่ C:\windows>
CHKDSK (CHECK DISK) คำสั่งตรวจเช็คพื้นที่ดิสก์
CHKDSK เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลของหน่วยความจำ และการใช้งานดิสก์
หรือฮาร์ดดิสก์ การรายงานผลของคำสั่งนี้จะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ไดเร็คทอรี และ FAT ของดิสก์
หรือไฟล์ เพื่อหาข้อมผิดพลาดของการเก็บบันทึก ถ้า CHKDSK พบว่ามี Lost Cluster
จะยังไม่แก้ไขใด ๆ นอกจากจะใช้สวิตซ์ /f กำหนดให้ทำการเปลี่ยน Lost Cluster ให้เป็นไฟล์
ที่มีชื่อไฟล์เป็น FILE0000.CHK ถ้าพบมากว่า 1 ไฟล์ อันต่อไปจะเป็น FILE0002.CHK ไปเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ยังสามารถรายงานปัญหาที่ตรวจพบได้อีก
อย่างเช่น จำนวน Bad Sector , Cross-ling Cluster (หมายถึง Cluster ที่มีไฟล์มากกว่าหนึ่งไฟล์
แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ข้อมูลใน Cluster จะเป็นของไฟล์ได้เพียงไฟล์เดียวเท่านั้น)
รูปแบบคำสั่ง
CHKDSK [drive:][[path]filename] [/F] [/V]
[drive:][path] กำหนดไดรว์ และไดเร็ทอรีที่ต้องการตรวบสอบ
filename ชื่อไฟล์ที่ต้องการให้ตรวจสอบ
/F สั่งให้ Fixes Errors ทันทีที่ตรวจพบ
/V ขณะที่กำลังตรวจสอบ ให้แสดงชื่อไฟล์และตำแหน่งของดิสก์บนหน้าจอด้วย
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\WINDOWS>CHKDSK D: ตรวจสอบข้อมูลการใช้งานดิสก์ในไดรว์ D
C:\>CHKDSK C: /F ตรวจสอบ ไดรว์ C พร้อมกับซ่อมแซมถ้าตรวจเจอปัญหา
COPY คำสั่งคัดลอกไฟล์
Copy เป็นคำสั่งที่ใช้ในการคัดลอกไฟล์ จากไดเร็คทอรีหนึ่งไปยังไดเร็คทอรีที่ต้องการ
คำสั่งนี้มีประโยชน์มากควรหัดใช้ให้เป็น เพราะสามารถคัดลอกไฟล์ได้ยามที่ Windows มีปัญหา
รูปแบบคำสั่ง
COPY [Source] [Destination]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\COPY A:README.TXT คัดลอกไฟล์ชื่อ README.TXT จากไดรว์ A ไปยังไดรว์ C
C:\COPY README.TXT A: คัดลอกไฟล์ชื่อ README.TXT จากไดรว์ C ไปยังไดรว์ A
C:\INFO\COPY A:*.* คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในไดรว์ A ไปยังไดเร็คทอรี INFO ในไดรว์ C
A:\COPY *.* C:INFO คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในไดรว์ A ไปยังไดเร็คทอรี INFO ในไดรว์ C
DIR คำสั่งแสดงไฟล์และไดเร็คทอรีย่อย
เป็นคำสั่งที่ใช้แสดงรายชื่อไฟล์และไดเร็คทอรี คำสั่งนี้ถือเป็นคำสั่งพื้นฐานที่ต้องใช้อยู่เป็นประจำ
เพื่อจะได้รู้ว่าในไดรว์หรือไดเร็คทอรีนั้น ๆ มีไฟล์หรือไดเร็คทอรีอะไรอยู่บ้าง
รูปแบบคำสั่ง
DIR /P /W
/P แสดงผลทีละหน้า
/W แสดงในแนวนอนของจอภาพ
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>DIR ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีทั้งหมดในไดรว์ C
C:\>DIR /W ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีทั้งหมดในไดรว์ C ในแนวนอน
C:\>INFO\DIR /P ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีย่อยในไดเร็คทอรี INFO โดยแสดงทีละหน้า
C:\>INFO\DIR *.TEX ให้แสดงรายชื่อไฟล์ทั้งหมดในไดเร็คทอรี INFO เฉพาะที่มีนามสกุล TXT เท่านั้น
C:\> DIR BO?.DOC ให้แสดงรายชื่อไฟล์ในไดรว์ C ที่ขึ้นต้นด้วย BO และมีนามสกุล DOC ในตำแหน่ง ? จะเป็นอะไรก็ได้
DEL (DELETE) คำสั่งลบไฟล์
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการลบไฟล์ ซึ่งต้องระมัดระวังในการใช้คำสั่งนี้ให้มาก
รูปแบบคำสั่ง
DEL [ชื่อไฟล์ที่ต้องการลบ]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>DEL BOS.VSD ลบไฟล์ในไดรว์ C ที่ชื่อ BOS.VSD
C:\>PROJECT\DEL JOB.XLS ลบไฟล์ชื่อ JOB.XLS ที่อยู่ในไดเร็คทอรี PROJEC ของไดรว์ C
D:\>DEL *.TXT ลบทุกไฟล์ที่มีนามสกุล TXT ในไดรว์ D
FDISK ( Fixed Disk)
เป็นไฟล์โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการกับพาร์ติชั่นของฮาร์ดิสก์ ใช้ในการสร้าง ลบ กำหนดไดรว์
ที่ทำหน้าที่บูตเครื่อง แสดงรายละเอียดของพาร์ติชันบนฮาร์ดิสก์ จะเห็นว่าเป็นโปรแกรมอีกตัวหนึ่ง
ที่ต้องทำความรู้จักและศึกษาวิธีใช้งาน เพราะสามารถใช้ประโยชน์ในการสร้าง
ฮาร์ดดิสก์ให้มีหลาย ๆ ไดรว์ก็ได้
รูปแบบคำสั่ง
FDISK /STATUS
ตัวอย่างการใช้งานโปรแกรม
A:>\FDISK เริ่มใช้งานโปรแกรม
A:\>FDISK /STATUS แสดงข้อมุลเกี่ยวกับพาร์ติชันบนฮาร์ดดิสก์
FORMAT คำสั่งฟอร์แมตเครื่อง
เป็นคำสั่งใช้จัดรูปแบบของดิสก์ใหม่ คำสั่งนี้ปกติจะใช้หลังการแบ่งพาร์ชันด้วยคำสั่ง FDISK
เพื่อให้สามารถใช้งานฮาร์ดดดดิสก์ได้ หรือฝช้ล้างข้อมูลกรณีต้องการเคลียร์ข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดิสก์
รูปแบบคำสั่ง
FORMAT drive: [/switches]
/Q ให้ฟอร์แมตแบบเร็ว ซึ่งจะใช้เวลาน้อยลง (Quick Format)
/S หลังฟอร์แมตแล้วให้คัดลอกไฟล์ระบบลงไปในไดรว์นั้นด้วย เพื่อให้ไดรว์ที่ทำการฟอร์แมต
สามารถบูตได้
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
A:\>FORMAT C: /S ฟอร์แมตไดรว์ C แล้วให้คัดลอกไฟล์ระบบลงไปในไดรว์ด้วย
C:\>FORMAT A: /Q ฟอร์แมตไดรว์ A แบบ Quick Format
MD คำสั่งสร้างไดเร็คทอรี
MD (Make Directory) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการสร้างไดเร็คทอรี คำสั่งนี้จะช่วยให้สามารถสร้างไดเร็คทอรี
ชื่ออะไรก็ได้ที่เราต้องการ แต่ต้องมีการตั้งชื่อที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของ Dos
รูปแบบคำสั่ง
MD [drive:] path
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
D:\> MD TEST สร้างไดเร็คทอรี TEST ขึ้นมาในไดรว์ D
D:\>DOC\MD TEST สร้างไดเร็คทอรีที่ชื่อ TEST ขึ้นมาภายในไดเร็คทอรี DOC
REN (RENAME) คำสั่งเปลี่ยนชื่อไฟล์
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนชื่อไฟล์ และส่วนขยาย โดยคำสั่ง REN นี้ไม่สามารถใช้เปลี่ยนชื่อ
ไดเร็คทอรีได้
รูปแบบคำสั่ง
REN [ชื่อไฟล์เดิมล [ชื่อไฟล์ใหม่]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\REN BOS.DOC ANN.DOC เปลี่ยนชื่อไฟล์ BOS.DOC ในไดรว์ C เป็น ANN.DOC
C:\REN C:\MAYA\BOS.DOC PEE.DOC เปลี่ยนชื่อไฟล์ BOS.DOC ในไดเร็คทอรี MAYA
ให้เป็น PEE.DOC
C:\REN A:*.*TEX *.OLD เปลี่ยนส่วนขยายของไฟล์ชนิด TXT ทุกไฟล์ในไดรว์ A ให้เป็น OLD
SCANDISK
คำสั่ง SCANDISK เป็นคำสั่งตรวจสอบพื่นที่ฮาร์ดดิสก์ สามารถใช้ในการตรวบสอบปัญหาต่าง ๆ
ได้ และเมื่อ SCANDISK ตรวจพบปํญหา จะมีทางเลือกให้ 3 ทางคือ FIX IT , Don't Fix IT
และ More Info ถ้าไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นให้เลือก More Info เพื่อขอข้อมูลเพิ่มก่อนตัดสินใจต่อไป
ถ้าเลือก FIX IT จะเป็นการสั่งให้ Scandisk ทำการแก้ไขปัญหาที่พบ ถ้าการซ่อมแซมสำเร็จโปรแกรม
จะมีรายงานที่จอภาพให้ทราบ ส่วน Don't Fix IT คือให้ข้ามปัญหาที่พบไปโดยไม่ต้องทำการแก้ไข
รูปแบบคำสั่ง
SCANDISK [Drive:]/AUTOFIX
/AUTOFIX ให้แก้ไขปัญหาโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
A:\>SCANDISK C: ทำการตรวจสอบปัญหาในไดรว์ C
A:\>SCANDISK D:/AUTOFIX ทำการตรวจสอบปัญหาในไดรว์ D และแก้ไขอัตโนมัติ
Type คำสั่งดูข้อมูลในไฟล์
Type เป็นคำสั่งที่ใช้แสดงเนื้อหาภายในไฟล์บนจอภาพ คำสั่งนี้จะใช้ได้กับไฟล์แบบ Text
ส่วนไฟล์โปรแกรมต่าง ๆ จะไม่สามารถอ่านได้
รูปแบบคำสั่ง
TYPE [ชื่อไฟล์ที่ต้องการอ่าน]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>Type AUTOEXEC.BAT แสดงเนื้อหาภายในไฟล์ AUTOEXEC.BAT
C:\>NORTON\TYPE README.TXT แสดงเนื้อหาภายในไฟล์ README.TXT
ในไดเร็คทอรี NORTON
XCOPY คำสั่งคัดลอกทั้งไดเร็คทอรีและทั้งหมดในไดเร็คทอรี
XCOPY เป็นคำสั่งที่ใช้ในการคัดลอกไฟล์ได้เหมือนคำสั่ง COPY แต่ทำงานได้เร็วกว่า
และสามารถคัดลอก ได้ทั้งไดเร็คทอรีและไดเร็คทอรีย่อย
รูปแบบคำสั่ง
XCOPY [ต้นทาง] [ปลายทาง] /S /E
/E ให้คัดลอกไดเร็คทอรีย่อยทั้งหมดรวมถึงไดเร็คทอรีย่อยที่ว่างเปล่าด้วย
/S ให้คัดลอกไดเร็คทอรีย่อยที่ไม่ว่างเปล่าทั้งหมด
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง
C:\>XCOPY BACKUP F: /S /E คัดลอกทุกไฟล์และทุกไดเร็คทอรีย่อย BACKUP ไปไว้ในไดรว์ F
C:\>PRINCE>XCOPY *.VSD A: คัดลอกทุกไฟล์ที่มีนามสกุล VSD ในไดเร็คทอรี PRINCE
ไปที่ไดรว์ A
ข้อความแจ้งปัญหาในดอส
ในการทำงานบนดอสบางครั้งก็เกิดปัญหาได้บ่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งการเกิดปัญหาแต่ละครั้ง
ก็จะมีข้อความแจ้งให้ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มีสาเหตุจากอะไร ต่อไปนี้เป็นข้อความแจ้งปัญหา
ที่มักพบได้บ่อย ๆ มีดังนี้
Abort, Retry, Fail ?
จะพบได้ในการณีที่ไดรว์ไม่มีแผ่นดิสก์อยุ่แล้วเรียกใช้ข้อมูลจากไดรว์นั้น การแก้ไขก็นำแผ่นดิสก์
ที่ต้องการใช้มาใส่เข้าไป
กดปุ่ม < R > (Retry) : การทำงานจะทำต่อจากงานที่ค้างอยู่ก่อนเกิดความผิดพลาด
กดปุ่ม < A > (Abort) : รอรับคำสั่งจะไปอยู่ในไดรว์ที่สั่งงานล่าสุด
กดปุ่ม < F > (Fail) : เมื่อต้องการยกเลิกการทำงาน และเปลี่ยนไดรว์ใหม่
Bad Command or file name : ใช้คำสั่งผิดหรือไฟล์ที่เรียกใช้งานนั้นไม่สามารถเรียกใช้ได้ การแก้ไข
ตรวจสอบบรรทัดคำสั่งว่าถูกต้องหรือไม่ เช่น พิมพ์คำสั่งหรือชื่อไฟล์ถูกต้องหรือไม่ แล้วลองรัน
คำสั่งดูใหม่อีกครั้ง อาจเกี่ยวข้องกับเวอร์ชันของดอสไม่มีคำสั่งนั้นก็ได้
File not found : ไม่สามารถหาไฟล์นั้นพบ อาจไม่มีไฟล์นั้น หรืออาจพิมพ์ชื่อไฟล์นั้น
ผิดจากที่ต้องการ นอกจากนี้อาจเกิดจากพาธ (Path) ที่สั่งงานไม่มีไฟล์นั้น
Insufficient memory หรือ Out of memory Insufficient memory : หน่วยความจำไม่พอต่อความต้องการ
ของโปรแกรม
Out of memory : โปรแกรมเริ่มทำงานไปแล้วบางส่วนแล้วหน่วยความจำไม่พอ
ระบบจึงต้องแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ
Directory already exits : เกิดขึ้นเมื่อสร้างไดเร็คทอรีแล้วไปซ้ำกับซื่อที่มีอยู่แล้วในพาธเดียวกัน
Duplicate file ot file not found : ถ้าเปลี่ยนชื่อไฟล์ไปซ้ำกับชื่อที่มีอยู่จะทำไม่ได้และจะแจ้งเตือน
ดังข้อความดังกล่าว
InSufficient Disk space : ข้อความนี้จะเกิดขึ้นเมื่อดิสก์ไม่เพียงพอต่อการเก็บข้อมูล
วิธีแก้ ลองใช้ดิสก์อื่นหรือลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออก
คำศัพท์ไอที
มาดูรายละเอียด คำย่อ ศัพท์ไอทีเพื่อให้ง่ายมากขึ้นในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับไอที และเทคโนโลยีใหม่ๆ
เราจึงพยายามรวบรวมคำย่อต่างๆ ไว้ให้คุณเพื่อจะได้ทราบถึงความหมายและสามารถเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คำย่อ: NAS
คำเต็ม: Network Attached Storage
ความหมาย: อุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูล โปรแกรม ที่ใช้เป็นศูนย์กลางผ่านทางระบบเครือข่าย
คำย่อ: NAT
คำเต็ม: Network Address Translation
ความหมาย: การแปลงไอพี แอดเดรสแท้ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มาเป็นไอพีปลอมในระบบเครือข่ายของเรา
หรือในทางกลับกัน
คำย่อ: OS
คำเต็ม: Operation System
ความหมาย: ระบบปฏิบัติการ เช่น Windows, Linux เป็นต้น
คำย่อ: PDA
คำเต็ม: Portable Digital Assistant
ความหมาย: อุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กกว่า Notebook แต่มีความสามารถใกล้เคียง สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก
คำย่อ: POP3
คำเต็ม: Post Office Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับรับส่งเมล์ และมีการพัฒนาถึงเวอร์ชั่น 3
คำย่อ: PPP
คำเต็ม: Point to Point Protocol
ความหมาย: มาตรา ฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับการรวบข้อมูลแล้วส่งออกไปทางพอร์ตอนุกรม
เพื่อให้คอมพิวเตอร์สอง ระบบสามารถสื่อสารกันได้ คล้ายๆ กับ SLIP
คำย่อ: RAS
คำเต็ม: Remote Access Server
ความหมาย: บริการการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระยะไกล เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากบ้าน
มายังสำนักงาน เป็นต้น
คำย่อ: ADSL
คำเต็ม: Asymmetric Digital Subscriber Line
ความหมาย: เทคโนโลยีหนึ่งใช้ในการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง ผ่านทางสายโทรศัพท์
คำย่อ: ASP
คำเต็ม: Active Server Page
ความหมาย: ภาษาหนึ่งในการพัฒนาเว็บในรูปแบบที่สามารถโต้ตอบกันได้ และเชื่อมกับระบบฐานข้อมูล
ซึ่งพัฒนาโดย Microsoft
คำย่อ: CDMA
คำเต็ม: Code Division Multiple Access
ความหมาย: อีกรูปแบบหนึ่งในการรับส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 153 kpbs
คำย่อ: CGI
คำเต็ม: Common Gateway Interface
ความหมาย: การ เชื่อมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตที่ไม่ได้ใช้มาตราฐานสื่อสาร HTTPเช่นการเขียน FORM
ในการกรอบข้อมูลเป็นต้น สำหรับภาษาที่ใช้เขียน CGIได้แก่ Perl หรือ C
คำย่อ: EDP
คำเต็ม: Electronic Data Processing
ความหมาย: ประมวลผลข้อมูลทางด้านอิเล็คทรอนิสก์
คำย่อ: DSS
คำเต็ม: Digital Signature Standard
ความหมาย: มาตรา ฐานการสร้างรหัสเพื่อยืนยันตัวผู้ส่งข้อมูล โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กำหนดขึ้น
เพื่อให้ทราบว่าข้อมูลนั้นถูกส่งมาจากใครโดยผู้อื่นไม่สามารถปลอมแปลงได้
คำย่อ: DHCP
คำเต็ม: Dynamic Host Configuration Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง (Protocol) ทำหน้าที่ในการแจกจ่ายไอพี แอดเดรส
และพารามิเตอร์ในระบบเครือข่าย
คำย่อ: DNS
คำเต็ม: Domain Name Server
ความหมาย: ชื่อเว็บไซต์
คำย่อ: D-I-Y
คำเต็ม: Do It Yourself
ความหมาย: ทำด้วยตัวเอง เช่นการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง เป็นต้น
คำย่อ: EDGE
คำเต็ม: Enhanced Data Rates for Global Evolution
ความหมาย: เทคโนโลยีระดับ G3 ตามมาตราฐานโลก ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย
ในระบบ GSM มีอัตราการรับส่งข้อมูลถึง 236 kbps
คำย่อ: FTP
คำเต็ม: File Transfer Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่งในระบบเครือข่าย ใช้สำหรับการโอนย้ายข้อมูล
คำย่อ: GPRS
คำเต็ม: General Packet Radio Service
ความหมาย: ระบบการสื่อสารไร้สาย (wireless) ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วความเร็วสูง แต่ช้ากว่า EDGE 4 เท่า
คำย่อ: HTML
คำเต็ม: Hyper Text Markup Language
ความหมาย: ภาษามาตราฐานสำหรับการสร้างเว็บ เป็นภาษาที่บราวเซอร์เข้าใจ
คำย่อ: HTTP
คำเต็ม: Hyper Text Transfer Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารในระบบเครือข่ายประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างเซิร์ฟเวอร์และไคลแอนด์
คำย่อ: IIS
คำเต็ม: Ineternet Information Server
ความหมาย: โปรแกรมที่ใช้สำหรับทำหน้าที่เป็นเซอร์เวอร์ของอินเตอร์เน็ต
คำย่อ: ISP
คำเต็ม: Internet Service Provider
ความหมาย: บริษัทที่ให้บริการ Internet (การเชื่อมต่อ)
คำย่อ: I.T.
คำเต็ม: Information Technology
ความหมาย: ข้อมูลทางด้านสาระสนเทศ
คำย่อ: IE
คำเต็ม: Internet Explorer
ความหมาย: โปรแกรมสำหรับแสดงข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Browser จากค่าย Microsfot
คำย่อ: IMAP4
คำเต็ม: Internet Message Access Protocol 4
ความหมาย: มาตรา ฐานการสื่อสารในการรับส่งเมล์ อีกประเภทหนึ่ง มีความสามารถหลากหลายมากว่าPOP
เช่น รองรับการใช้งานแบบ Offline, Online สามารถเลือก downloadเมล์ที่ต้องการได้ เป็นต้น
คำย่อ: LAN
คำเต็ม: Local Are Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก ภายในองค์กร
คำย่อ: MAN
คำเต็ม: Metropolitan Area Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่เป็น 100 กิโลเมตร
คำย่อ: MIMO
คำเต็ม: Multiple in, multiple out
ความหมาย: เทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่สามารถเพิ่มช่องส่งสัญญาณและพื้นที่ได้โดยใช้เสาอากาศ
หลายๆ ตัว (Wireless Technology)
คำย่อ: SAN
คำเต็ม: Storage Area Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายการจัดเก็บข้อมูลด้วยความเร็วสูง รองรับการบันทึกข้อมูลด้วยสื่อหลายประเภท
คำย่อ: SET
คำเต็ม: Secure Electronic Transaction
ความหมาย: มาตราฐานการส่งข้อมูลชำระเงินทางบัตรเครดิต ผ่านทางระบบเครือข่าย
โดยมีการเข้ารหัสในรูปแบบ Digital Signature
คำย่อ: SLIP
คำเต็ม: Serial Line Internet Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับส่งข้อมูล TCP/IP ผ่านทางพอร์ตอนุกรม
โดยบริษัท 3COM เป็นผู้คิดค้น
คำย่อ: SMTP
คำเต็ม: Simple Mail Transfer Protocol
ความหมาย: ระบบ mail ที่ใช้สำหรับการส่งออก มีความหมายตรงข้ามกับ Incoming Mail
คำย่อ: SSL
คำเต็ม: Secure Socket Layer
ความหมาย: มาตราฐานการรับส่งข้อมูลผานอินเตอร์เน็ต เพื่อสร้างระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
คำย่อ: TCP/IP
คำเต็ม: Transmission Control Protocol / Internet Protocal
ความหมาย: มาตราฐานสื่อสารที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลทางเครือข่าย
คำย่อ: URL
คำเต็ม: Uniform Resource Locator
ความหมาย: ตำแหน่งที่อยู่ของเว็บ ตลอดจนที่เก็บไฟล์
คำย่อ: USB
คำเต็ม: Universal Serial Bus
ความหมายช่องทางการสื่อสาร (port) ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงมาก
:คำย่อ: UTP
คำเต็ม: Unshielded Twisted Pair
ความหมาย: สายแลนประเภทหนึ่ง ที่มีการตีเกลียวคู่ 4 คู่ภายในเส้นเดียวกัน ใช้สำหรับ
รับ-ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย
คำย่อ: WAP
คำเต็ม: Wireless Application Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สาย เข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
คำย่อ: WiMax
คำเต็ม: Worldwide Interoperability for Microwave Access
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สาย ที่ใช้มาตราฐาน IEEE 802.16
คำย่อ: VB
คำเต็ม: Visual Basic
ความหมาย: ภาษาหนึ่งในการพัฒนาโปรแกรมทางด้านคอมพิวเตอร์
คำย่อ: VPN
คำเต็ม: Virtual Private Network
ความหมาย: การเชื่อมต่อผ่าน internet โดยมีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งต้นทางและปลายทาง
คำย่อ: WAN
คำเต็ม: Wide Area Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เชื่อมต่อภายในและภายนอกองค์กร
เราจึงพยายามรวบรวมคำย่อต่างๆ ไว้ให้คุณเพื่อจะได้ทราบถึงความหมายและสามารถเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คำย่อ: NAS
คำเต็ม: Network Attached Storage
ความหมาย: อุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูล โปรแกรม ที่ใช้เป็นศูนย์กลางผ่านทางระบบเครือข่าย
คำย่อ: NAT
คำเต็ม: Network Address Translation
ความหมาย: การแปลงไอพี แอดเดรสแท้ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มาเป็นไอพีปลอมในระบบเครือข่ายของเรา
หรือในทางกลับกัน
คำย่อ: OS
คำเต็ม: Operation System
ความหมาย: ระบบปฏิบัติการ เช่น Windows, Linux เป็นต้น
คำย่อ: PDA
คำเต็ม: Portable Digital Assistant
ความหมาย: อุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กกว่า Notebook แต่มีความสามารถใกล้เคียง สามารถพกพาไปไหนได้สะดวก
คำย่อ: POP3
คำเต็ม: Post Office Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับรับส่งเมล์ และมีการพัฒนาถึงเวอร์ชั่น 3
คำย่อ: PPP
คำเต็ม: Point to Point Protocol
ความหมาย: มาตรา ฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับการรวบข้อมูลแล้วส่งออกไปทางพอร์ตอนุกรม
เพื่อให้คอมพิวเตอร์สอง ระบบสามารถสื่อสารกันได้ คล้ายๆ กับ SLIP
คำย่อ: RAS
คำเต็ม: Remote Access Server
ความหมาย: บริการการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระยะไกล เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากบ้าน
มายังสำนักงาน เป็นต้น
คำย่อ: ADSL
คำเต็ม: Asymmetric Digital Subscriber Line
ความหมาย: เทคโนโลยีหนึ่งใช้ในการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง ผ่านทางสายโทรศัพท์
คำย่อ: ASP
คำเต็ม: Active Server Page
ความหมาย: ภาษาหนึ่งในการพัฒนาเว็บในรูปแบบที่สามารถโต้ตอบกันได้ และเชื่อมกับระบบฐานข้อมูล
ซึ่งพัฒนาโดย Microsoft
คำย่อ: CDMA
คำเต็ม: Code Division Multiple Access
ความหมาย: อีกรูปแบบหนึ่งในการรับส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 153 kpbs
คำย่อ: CGI
คำเต็ม: Common Gateway Interface
ความหมาย: การ เชื่อมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตที่ไม่ได้ใช้มาตราฐานสื่อสาร HTTPเช่นการเขียน FORM
ในการกรอบข้อมูลเป็นต้น สำหรับภาษาที่ใช้เขียน CGIได้แก่ Perl หรือ C
คำย่อ: EDP
คำเต็ม: Electronic Data Processing
ความหมาย: ประมวลผลข้อมูลทางด้านอิเล็คทรอนิสก์
คำย่อ: DSS
คำเต็ม: Digital Signature Standard
ความหมาย: มาตรา ฐานการสร้างรหัสเพื่อยืนยันตัวผู้ส่งข้อมูล โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กำหนดขึ้น
เพื่อให้ทราบว่าข้อมูลนั้นถูกส่งมาจากใครโดยผู้อื่นไม่สามารถปลอมแปลงได้
คำย่อ: DHCP
คำเต็ม: Dynamic Host Configuration Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง (Protocol) ทำหน้าที่ในการแจกจ่ายไอพี แอดเดรส
และพารามิเตอร์ในระบบเครือข่าย
คำย่อ: DNS
คำเต็ม: Domain Name Server
ความหมาย: ชื่อเว็บไซต์
คำย่อ: D-I-Y
คำเต็ม: Do It Yourself
ความหมาย: ทำด้วยตัวเอง เช่นการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง เป็นต้น
คำย่อ: EDGE
คำเต็ม: Enhanced Data Rates for Global Evolution
ความหมาย: เทคโนโลยีระดับ G3 ตามมาตราฐานโลก ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย
ในระบบ GSM มีอัตราการรับส่งข้อมูลถึง 236 kbps
คำย่อ: FTP
คำเต็ม: File Transfer Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่งในระบบเครือข่าย ใช้สำหรับการโอนย้ายข้อมูล
คำย่อ: GPRS
คำเต็ม: General Packet Radio Service
ความหมาย: ระบบการสื่อสารไร้สาย (wireless) ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วความเร็วสูง แต่ช้ากว่า EDGE 4 เท่า
คำย่อ: HTML
คำเต็ม: Hyper Text Markup Language
ความหมาย: ภาษามาตราฐานสำหรับการสร้างเว็บ เป็นภาษาที่บราวเซอร์เข้าใจ
คำย่อ: HTTP
คำเต็ม: Hyper Text Transfer Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารในระบบเครือข่ายประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างเซิร์ฟเวอร์และไคลแอนด์
คำย่อ: IIS
คำเต็ม: Ineternet Information Server
ความหมาย: โปรแกรมที่ใช้สำหรับทำหน้าที่เป็นเซอร์เวอร์ของอินเตอร์เน็ต
คำย่อ: ISP
คำเต็ม: Internet Service Provider
ความหมาย: บริษัทที่ให้บริการ Internet (การเชื่อมต่อ)
คำย่อ: I.T.
คำเต็ม: Information Technology
ความหมาย: ข้อมูลทางด้านสาระสนเทศ
คำย่อ: IE
คำเต็ม: Internet Explorer
ความหมาย: โปรแกรมสำหรับแสดงข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Browser จากค่าย Microsfot
คำย่อ: IMAP4
คำเต็ม: Internet Message Access Protocol 4
ความหมาย: มาตรา ฐานการสื่อสารในการรับส่งเมล์ อีกประเภทหนึ่ง มีความสามารถหลากหลายมากว่าPOP
เช่น รองรับการใช้งานแบบ Offline, Online สามารถเลือก downloadเมล์ที่ต้องการได้ เป็นต้น
คำย่อ: LAN
คำเต็ม: Local Are Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก ภายในองค์กร
คำย่อ: MAN
คำเต็ม: Metropolitan Area Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่เป็น 100 กิโลเมตร
คำย่อ: MIMO
คำเต็ม: Multiple in, multiple out
ความหมาย: เทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่สามารถเพิ่มช่องส่งสัญญาณและพื้นที่ได้โดยใช้เสาอากาศ
หลายๆ ตัว (Wireless Technology)
คำย่อ: SAN
คำเต็ม: Storage Area Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายการจัดเก็บข้อมูลด้วยความเร็วสูง รองรับการบันทึกข้อมูลด้วยสื่อหลายประเภท
คำย่อ: SET
คำเต็ม: Secure Electronic Transaction
ความหมาย: มาตราฐานการส่งข้อมูลชำระเงินทางบัตรเครดิต ผ่านทางระบบเครือข่าย
โดยมีการเข้ารหัสในรูปแบบ Digital Signature
คำย่อ: SLIP
คำเต็ม: Serial Line Internet Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับส่งข้อมูล TCP/IP ผ่านทางพอร์ตอนุกรม
โดยบริษัท 3COM เป็นผู้คิดค้น
คำย่อ: SMTP
คำเต็ม: Simple Mail Transfer Protocol
ความหมาย: ระบบ mail ที่ใช้สำหรับการส่งออก มีความหมายตรงข้ามกับ Incoming Mail
คำย่อ: SSL
คำเต็ม: Secure Socket Layer
ความหมาย: มาตราฐานการรับส่งข้อมูลผานอินเตอร์เน็ต เพื่อสร้างระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
คำย่อ: TCP/IP
คำเต็ม: Transmission Control Protocol / Internet Protocal
ความหมาย: มาตราฐานสื่อสารที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลทางเครือข่าย
คำย่อ: URL
คำเต็ม: Uniform Resource Locator
ความหมาย: ตำแหน่งที่อยู่ของเว็บ ตลอดจนที่เก็บไฟล์
คำย่อ: USB
คำเต็ม: Universal Serial Bus
ความหมายช่องทางการสื่อสาร (port) ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงมาก
:คำย่อ: UTP
คำเต็ม: Unshielded Twisted Pair
ความหมาย: สายแลนประเภทหนึ่ง ที่มีการตีเกลียวคู่ 4 คู่ภายในเส้นเดียวกัน ใช้สำหรับ
รับ-ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย
คำย่อ: WAP
คำเต็ม: Wireless Application Protocol
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สาย เข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
คำย่อ: WiMax
คำเต็ม: Worldwide Interoperability for Microwave Access
ความหมาย: มาตราฐานการสื่อสารเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สาย ที่ใช้มาตราฐาน IEEE 802.16
คำย่อ: VB
คำเต็ม: Visual Basic
ความหมาย: ภาษาหนึ่งในการพัฒนาโปรแกรมทางด้านคอมพิวเตอร์
คำย่อ: VPN
คำเต็ม: Virtual Private Network
ความหมาย: การเชื่อมต่อผ่าน internet โดยมีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งต้นทางและปลายทาง
คำย่อ: WAN
คำเต็ม: Wide Area Network
ความหมาย: ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เชื่อมต่อภายในและภายนอกองค์กร
เทคโนโลยี RAID ระดับต่าง ๆ เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพให้คอมพิวเตอร์
RAID (Redundant Array of Inexpensive Disks) เป็นการนำเอาฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไป
มาเชื่อมต่อให้ทำงานร่วมกันเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ตัวเดียว
สิ่งที่ผู้ใช้ได้รับนอกจากจะได้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงขึ้นทั้งการอ่าน และการเขียนแล้ว
ยังช่วยลดอัตราการสูญเสียของข้อมูลให้น้อยลงในกรณีที่ฮาร์ดแวร์ทำงานผิดพลาด ได้อีก
ด้วยนะครับสำหรับ RAID ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ RAID 0, RAID 1
และ RAID 0+1 หรือว่า RAID 10 นั่นเอง แต่ละแบบจะแตกต่างกัน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังนะครับ
RAID 0 เป็นการทำให้ความเร็วของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือที่เรียกกันว่า Striping ซึ่งความเร็ว
ในการเขียนและอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์จะเพิ่มตามจำนวน ฮาร์ดดิสก์ที่นำมา ใช้ข้อมูลที่เราจัดเก็บลงไป
ในฮาร์ดดิสก์จะถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ ดังนั้นเวลาที่เราเรียกใช้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์จะอ่านข้อมูล
ที่แบ่งมาที่มันเพียงบางส่วนและอีกส่วนจะอยู่ที่ ฮาร์ดดิสก์ตัวอื่น ๆ ที่นำ RAID 0 นี้มันเป็นการทำให้ลดภาระ
ในการอ่านข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ลง
RAID 1 เป็นการทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงขึ้น หรือเรียก RAID 1 ว่า Disk Mirror การทำงาน
ของ RAID 1 คือ เมื่อเราจัดเก็บข้อมูลลงไปในฮาร์ดดิสก์ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเหมือนกันและพร้อมกัน
เหมือนกันกับการสำรองข้อมูลนั่นเอง ถ้าข้อมูลเกิดการเสียหายที่ฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่ง ก็ยังสามารถใช้ข้อมูล
จากฮาร์ดดิสก์อีกตัวได้เพราะว่าเป็นข้อมูลตัวเดียวกัน แต่ว่าความเร็วของฮาร์ดดิสก์ไม่ได้เพิ่มเป็น 2 เท่า
เหมือนกับ RAID 0 จะยังคงเป็นความเร็วเท่าเดิมอยู่
RAID 0+1 หรือ RAID 10 เป็นการนำ RAID 0 กับ RAID 1 มาใช้ร่วมกัน เพื่อให้ได้ทั้งความเร็ว
และความปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง RAID 10 จะต้องใช้ฮาร์ดดิสก์ 4 ตัว โดยหลัก
การทำงานของ RAID 10 คือ
ในการจัดเก็บข้อมูลนั้น ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนเหมือน RAID 0 แล้วมีการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะ
ของ RAID 1 คือเหมือนเป็นการสำรองข้อมูลอีกครั้งนึง เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
แล้วการทำ RAID จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้ครับ ถ้าจำไม่ผิดจะมีทั้งหมด 53 แบบด้วยกัน แต่ว่า 3 แบบ
ที่ผมได้ให้รายละเอียดไปจะได้รับความนิยมมากที่สุด ปกติการทำ RAID จะทำกับเครื่อง Server
แต่ว่าปัจจุบันความต้องการของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) มีมากขึ้น
และเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงสามารถใช้เทคโนโลยี RAID ได้
กับเครื่อ PC ฮาร์ดดิสก์ที่นำมาใช้ทำ RAID น่าจะเป็น Serial ATA จะดีที่สุด เพราะว่าอัตราการส่ง
และโอนถ่ายข้อมูลทำได้ดีกว่า ฮาร์ดดิสก์ ATA จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล 133 Mbps
(Megabyte per second) แต่ถ้าเป็น Serial ATA จะมีอัตราการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 150 Mbps
(Megabyte per second)
การจะทำ RAID จะต้องใช้เมนบอร์ดที่มี chipset ที่รองรับการทำ RAID ด้วย
( ส่วนใหญ่จะหนักไปทาง chipset ของ INTEL ซะมากกว่า ) แต่ว่าถ้าไม่รองรับก็จะมีตัวอุปกรณ์พิเศษ
ที่นำมาใช้ทำ RAID ได้เช่นกัน
การทำ RAID จะมี 2 แบบด้วยกันคือ ด้วย Hardware กับด้วย Software ถ้าทำ RAID ด้วย Hardware
คือจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเข้ามาช่วย ( อันนี้ไม่เคยทำครับ ) อีกแบบคือทำ RAID ด้วย Software
คือใช้ตัวซอฟต์แวร์ในการจัดการ เราจะต้องมีตัวซอฟต์แวร์ หรือ Driver RAID ซึ่งเมนบอร์ดแต่ละตัว
มีซอฟต์แวร์ในการทำ RAID ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่สามารถจะนำฮาร์ดดิสก์ที่ทำ RAID จากเมนบอร์ดตัวนึง
ไปใช้งานกับเมนบอร์ดตัวอื่นได้ ถ้าจะใช้จะต้องทำ RAID ใหม่ครับ และเมื่อเราถอดฮาร์ดดิสก์ที่ทำ RAID
มาต่อเป็นตัวเดียวหรือแบบธรรมดา ก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกเช่นกัน ระบบปฏิบัติการที่จะใช้ร่วมกับ
การทำ RAID นะครับ เท่าที่ลองมาจะเป็น windows XP Service Pack 2 ส่วนวิธีการก็แตกต่างกันไป
แล้วแต่เมนบอร์ดแต่ละยี่ห้ออีกเช่นกัน ค่อนข้างยุ่งยากมากเลยทีเดียว
Credit : http://smf.ruk-com.in.th
มาเชื่อมต่อให้ทำงานร่วมกันเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ตัวเดียว
สิ่งที่ผู้ใช้ได้รับนอกจากจะได้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงขึ้นทั้งการอ่าน และการเขียนแล้ว
ยังช่วยลดอัตราการสูญเสียของข้อมูลให้น้อยลงในกรณีที่ฮาร์ดแวร์ทำงานผิดพลาด ได้อีก
ด้วยนะครับสำหรับ RAID ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ RAID 0, RAID 1
และ RAID 0+1 หรือว่า RAID 10 นั่นเอง แต่ละแบบจะแตกต่างกัน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังนะครับ
RAID 0 เป็นการทำให้ความเร็วของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือที่เรียกกันว่า Striping ซึ่งความเร็ว
ในการเขียนและอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์จะเพิ่มตามจำนวน ฮาร์ดดิสก์ที่นำมา ใช้ข้อมูลที่เราจัดเก็บลงไป
ในฮาร์ดดิสก์จะถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ ดังนั้นเวลาที่เราเรียกใช้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์จะอ่านข้อมูล
ที่แบ่งมาที่มันเพียงบางส่วนและอีกส่วนจะอยู่ที่ ฮาร์ดดิสก์ตัวอื่น ๆ ที่นำ RAID 0 นี้มันเป็นการทำให้ลดภาระ
ในการอ่านข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ลง
RAID 1 เป็นการทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงขึ้น หรือเรียก RAID 1 ว่า Disk Mirror การทำงาน
ของ RAID 1 คือ เมื่อเราจัดเก็บข้อมูลลงไปในฮาร์ดดิสก์ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเหมือนกันและพร้อมกัน
เหมือนกันกับการสำรองข้อมูลนั่นเอง ถ้าข้อมูลเกิดการเสียหายที่ฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่ง ก็ยังสามารถใช้ข้อมูล
จากฮาร์ดดิสก์อีกตัวได้เพราะว่าเป็นข้อมูลตัวเดียวกัน แต่ว่าความเร็วของฮาร์ดดิสก์ไม่ได้เพิ่มเป็น 2 เท่า
เหมือนกับ RAID 0 จะยังคงเป็นความเร็วเท่าเดิมอยู่
RAID 0+1 หรือ RAID 10 เป็นการนำ RAID 0 กับ RAID 1 มาใช้ร่วมกัน เพื่อให้ได้ทั้งความเร็ว
และความปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง RAID 10 จะต้องใช้ฮาร์ดดิสก์ 4 ตัว โดยหลัก
การทำงานของ RAID 10 คือ
ในการจัดเก็บข้อมูลนั้น ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนเหมือน RAID 0 แล้วมีการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะ
ของ RAID 1 คือเหมือนเป็นการสำรองข้อมูลอีกครั้งนึง เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
แล้วการทำ RAID จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้ครับ ถ้าจำไม่ผิดจะมีทั้งหมด 53 แบบด้วยกัน แต่ว่า 3 แบบ
ที่ผมได้ให้รายละเอียดไปจะได้รับความนิยมมากที่สุด ปกติการทำ RAID จะทำกับเครื่อง Server
แต่ว่าปัจจุบันความต้องการของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) มีมากขึ้น
และเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงสามารถใช้เทคโนโลยี RAID ได้
กับเครื่อ PC ฮาร์ดดิสก์ที่นำมาใช้ทำ RAID น่าจะเป็น Serial ATA จะดีที่สุด เพราะว่าอัตราการส่ง
และโอนถ่ายข้อมูลทำได้ดีกว่า ฮาร์ดดิสก์ ATA จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล 133 Mbps
(Megabyte per second) แต่ถ้าเป็น Serial ATA จะมีอัตราการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 150 Mbps
(Megabyte per second)
การจะทำ RAID จะต้องใช้เมนบอร์ดที่มี chipset ที่รองรับการทำ RAID ด้วย
( ส่วนใหญ่จะหนักไปทาง chipset ของ INTEL ซะมากกว่า ) แต่ว่าถ้าไม่รองรับก็จะมีตัวอุปกรณ์พิเศษ
ที่นำมาใช้ทำ RAID ได้เช่นกัน
การทำ RAID จะมี 2 แบบด้วยกันคือ ด้วย Hardware กับด้วย Software ถ้าทำ RAID ด้วย Hardware
คือจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเข้ามาช่วย ( อันนี้ไม่เคยทำครับ ) อีกแบบคือทำ RAID ด้วย Software
คือใช้ตัวซอฟต์แวร์ในการจัดการ เราจะต้องมีตัวซอฟต์แวร์ หรือ Driver RAID ซึ่งเมนบอร์ดแต่ละตัว
มีซอฟต์แวร์ในการทำ RAID ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่สามารถจะนำฮาร์ดดิสก์ที่ทำ RAID จากเมนบอร์ดตัวนึง
ไปใช้งานกับเมนบอร์ดตัวอื่นได้ ถ้าจะใช้จะต้องทำ RAID ใหม่ครับ และเมื่อเราถอดฮาร์ดดิสก์ที่ทำ RAID
มาต่อเป็นตัวเดียวหรือแบบธรรมดา ก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกเช่นกัน ระบบปฏิบัติการที่จะใช้ร่วมกับ
การทำ RAID นะครับ เท่าที่ลองมาจะเป็น windows XP Service Pack 2 ส่วนวิธีการก็แตกต่างกันไป
แล้วแต่เมนบอร์ดแต่ละยี่ห้ออีกเช่นกัน ค่อนข้างยุ่งยากมากเลยทีเดียว
Credit : http://smf.ruk-com.in.th
วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
การใช้โปรแกรม DVDFab แบ่ง DVD9 เป็น DVD5 2แผ่น
เอา DVD9 มาแบ่งออกเป็น DVD5 จำนวน 2 แผ่น โดยใช้โปรแกรม DVDFab
คุณภาพของ vdo ที่ได้จะเทียบเท่ากับต้อฉบับที่เป็น dvd9 เลย เพราะว่าไม่มีการลดทอนคุณภาพ
หรือบีบอัดไฟล์แต่อย่างใด และยังประหยัดกว่าไปซื้อ DVD9 เพราะว่าแผ่น DVD-R 2 แผ่น ราคาไม่แพง
เมื่อเทียบกับการใช้แผ่น DVD+R DL แล้วจะเห็นว่าคุ้มกว่ามาก
จากนั้นเรียกโปรแกรมขึ้นมาโดย dubble click ที่ไอคอน DVDFab Platinum(Gold Mode)
เพื่อทำการเรียกตัวโปรแกรมขึ้นมา จะได้หน้าจอดังนี้ ให้กดที่ปุ่ม Full Disc
เพื่อ backup แบบใช้ dvd-r หลายแผ่น
มาที่หน้า Select Source ให้คลิกที่ Disk Folder ให้กดปุ่ม เพื่อหาโฟลเดอร์ของไฟล์ทั้งหมดที่เราโหลดมา
(ของผมเก็บไว้ที่ G:\VDO\(DVDISO)Switch On\video_ts ) จากนั้นก็กด Next
ที่หน้า Select split-title โปรแกรมจะเลือกเอา chapter ที่อยู่กึ่งกลางของ disc ให้โดยอัตโนมัติ
โดยจะแสดงให้เห็นว่า Disc1 และ Disc2 ที่แบ่งจะมีขนาดเท่าไหร่
ที่หน้าจอนี้ให้เช็คที่หน้า Jump directly to movie on Disc2 ด้วย เพื่อที่เวลาเราใส่แผ่นที่ 2 ไปในเครื่อง
โปรแกรมที่เล่นจะเล่น chapter ต่อไปให้ทันที ไม่ต้องมาเลือก chapter ก่อน จากนั้นก็กด Next
หน้าจอ Select Output Method เพื่อเลือกว่าจะให้ Output ออกมาเป็นอะไร
- DVD Folder : คือให้ออกมาเป็น dvd folder ที่พร้อมจะนำไปเขียนเป็น dvd5 อีกที โดยใช้ Nero
ที่ผมเลือกวิธีนี้ เพราะคิดว่าปลอดภัยกว่าการเขียนลงแผ่น dvd โดยตรงเลย ซึ่งแผ่นอาจจะเสียได้
ถ้ามี error ในระหว่างการแปลง และที่สำคัญ ผมสามารถตั้งชื่อ label ของแผ่นได้เองตอนที่ใช้ nero ไรท์
- DVD Image : ก็คือ output ออกมาเป็นไฟล์ ISO ของ dvd แต่ละแผ่นครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหน
ชอบแบบไฟล์ ISO ก็เลือกวิธีนี้ได้
- DVD Writer : วิธีนี้จะ burn dvd ออกมาเลย ซึ่งตอนแรกโปรแกรมจะทำ output เป็น dvd folder
แบบวิธีแรกก่อนที่ตำแหน่ง Temporary directory จากนั้นก็จะสั่งไรท์แผ่นออกมาโดยโปรแกรมของมันเอง
(VSO burning engine)
หลังจากกดปุ่ม GO ที่ขั้นตอนที่แล้ว ก็จะเป็นขั้นตอนการ copy movie ครับ รอซักพักประมาณ 10 นาที
เมื่อเสร็จก็กดปุ่ม finish
จะได้ผลลัพธ์เป็น 2 folder ชื่อ Disc1 กับ Disc2 ครับ
เมื่อลองเข้าไปดูไฟล์ข้างในก็จะเห็นว่ามีชื่อโฟลเดอร์คล้ายๆกับที่เราโหลดมาแล้ว แต่ว่าจำนวนจะน้อยกว่า
และมีขนาดแค่ 3 GB
จากนั้นเราสามารถเอาไฟล์ที่ได้นี้ไปไรท์เป็น dvd vdo ได้เลยโดยใช้โปรแกรม Nero Burning Rom
อย่าลืมเลือกเป็นแบบ DVD-Video นะครับ
คุณภาพของ vdo ที่ได้จะเทียบเท่ากับต้อฉบับที่เป็น dvd9 เลย เพราะว่าไม่มีการลดทอนคุณภาพ
หรือบีบอัดไฟล์แต่อย่างใด และยังประหยัดกว่าไปซื้อ DVD9 เพราะว่าแผ่น DVD-R 2 แผ่น ราคาไม่แพง
เมื่อเทียบกับการใช้แผ่น DVD+R DL แล้วจะเห็นว่าคุ้มกว่ามาก
จากนั้นเรียกโปรแกรมขึ้นมาโดย dubble click ที่ไอคอน DVDFab Platinum(Gold Mode)
เพื่อทำการเรียกตัวโปรแกรมขึ้นมา จะได้หน้าจอดังนี้ ให้กดที่ปุ่ม Full Disc
เพื่อ backup แบบใช้ dvd-r หลายแผ่น
มาที่หน้า Select Source ให้คลิกที่ Disk Folder ให้กดปุ่ม เพื่อหาโฟลเดอร์ของไฟล์ทั้งหมดที่เราโหลดมา
(ของผมเก็บไว้ที่ G:\VDO\(DVDISO)Switch On\video_ts ) จากนั้นก็กด Next
โดยจะแสดงให้เห็นว่า Disc1 และ Disc2 ที่แบ่งจะมีขนาดเท่าไหร่
ที่หน้าจอนี้ให้เช็คที่หน้า Jump directly to movie on Disc2 ด้วย เพื่อที่เวลาเราใส่แผ่นที่ 2 ไปในเครื่อง
โปรแกรมที่เล่นจะเล่น chapter ต่อไปให้ทันที ไม่ต้องมาเลือก chapter ก่อน จากนั้นก็กด Next
- DVD Folder : คือให้ออกมาเป็น dvd folder ที่พร้อมจะนำไปเขียนเป็น dvd5 อีกที โดยใช้ Nero
ที่ผมเลือกวิธีนี้ เพราะคิดว่าปลอดภัยกว่าการเขียนลงแผ่น dvd โดยตรงเลย ซึ่งแผ่นอาจจะเสียได้
ถ้ามี error ในระหว่างการแปลง และที่สำคัญ ผมสามารถตั้งชื่อ label ของแผ่นได้เองตอนที่ใช้ nero ไรท์
- DVD Image : ก็คือ output ออกมาเป็นไฟล์ ISO ของ dvd แต่ละแผ่นครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหน
ชอบแบบไฟล์ ISO ก็เลือกวิธีนี้ได้
- DVD Writer : วิธีนี้จะ burn dvd ออกมาเลย ซึ่งตอนแรกโปรแกรมจะทำ output เป็น dvd folder
แบบวิธีแรกก่อนที่ตำแหน่ง Temporary directory จากนั้นก็จะสั่งไรท์แผ่นออกมาโดยโปรแกรมของมันเอง
(VSO burning engine)
และมีขนาดแค่ 3 GB
อย่าลืมเลือกเป็นแบบ DVD-Video นะครับ
การแบ่ง DVD9 เป็น DVD5 2แผ่น ดว้ยโปรแกรม DVDFab
อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในกรณี อาจจะไม่มีแผ่น DVD9 เป็นต้น
การใช้โปรแกรม Clone CD 5.0 เขียนแผ่น CD DVD
การ เขียนแผ่น CD DVD ดว้ยโปรแกรม Clone CD 5.0
หน้าตาของโปรแกรม
หน้าตาโปรแกรมก็จะง่ายๆครับ จะได้ไม่ต้องสับสนกับการทำงาน หน้าต่างหลักๆจะมีให้กด 4 ปุ่ม จะมี
1. การอานแผ่น เพื่อทำสำเนาแผ่น CD/DVD ลงเครื่อง ไม่ใช่ไฟล์ ISO แต่เป็นไฟล์ของ โปรแกรมเอง
แต่ทำงานเหมือน ISO ทุกประการ
2.การเขียนแผ่น ให้สำหรับเขียนไฟล์ที่ทำการ สำเนาจากตัวเลือกที่ 1 ลงแผ่น CD/DVD
3.สำเนาแผ่น ซึ่งใช้ในการทำสำเนาแผ่นสู่แผ่นทั้ง CD/DVD
4.การลบข้อมูลแผ่น CD/DVD ใช้ได้เฉพาะ แผ่น RW เท่านั้น
การ Copy CD/DVD
เมื่อเข้าโปรแกรมเข้ามาดังภาพให้กดปุ่ม ดังภาพด้านล่าง
จากนั้น กดต่อไป เพื่อตรวจสอบแผ่น และกดต่อไป จนถึงหน้าต่างดังภาพด้านล่าง
จะเข้าสู่หน้าการ Copy ดังภาพด้านล่าง
เมื่อเสร็จจะได้หน้าต่างใหม่ดังภาพด้านล่าง
เมื่อเข้าไปดูในโฟลเดอร์ที่บันทึกไฟล์จะได้ไฟล์ ดังตัวอย่างภาพด้านล่าง ไฟล์ที่ใช้อ่านข้อมูล
จะให้ไฟล์นามสกุล img
หน้าตาของโปรแกรม
1. การอานแผ่น เพื่อทำสำเนาแผ่น CD/DVD ลงเครื่อง ไม่ใช่ไฟล์ ISO แต่เป็นไฟล์ของ โปรแกรมเอง
แต่ทำงานเหมือน ISO ทุกประการ
2.การเขียนแผ่น ให้สำหรับเขียนไฟล์ที่ทำการ สำเนาจากตัวเลือกที่ 1 ลงแผ่น CD/DVD
3.สำเนาแผ่น ซึ่งใช้ในการทำสำเนาแผ่นสู่แผ่นทั้ง CD/DVD
4.การลบข้อมูลแผ่น CD/DVD ใช้ได้เฉพาะ แผ่น RW เท่านั้น
การ Copy CD/DVD
เมื่อเข้าโปรแกรมเข้ามาดังภาพให้กดปุ่ม ดังภาพด้านล่าง
จะให้ไฟล์นามสกุล img
ป้ายกำกับ:
การใช้โปรแกรม Clone CD 5.0 เขียนแผ่น CD DVD
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553
การโหลดบิทดว้ยโปรแกรม BitComet
การใช้โปรแกรม BitComet โหลดbit
สามารถหาโปรแกรมนี้ได้จากเวป BitComet.com
เมื่อดาวโหลดไฟล์ Torrent ที่ต้องการมาแล้ว เปิดโปรแกรม Bitcomet
(ใช้โปรแกรมอื่นก็ได้นะ แต่ในที่นี้ใช้ Bitcomet)
1. กด Open
2. เลือกไฟล์ Torrent ที่ได้โหลดมาเมื่อกี้
3. กดปุ่ม Open เมื่อเลือกได้แล้ว
จะมีหน้าต่าง Task Properties… ขึ้นมา
Save Location
เลือกว่าจะไป Save ไว้ที่ไหน ระวังเรื่องพื้นที่ด้วย ถ้าไม่พอเก็บเดี๋ยวจะซวยที่หลัง
Torrent Content
- แสดงไฟล์ที่จะโหลด สามารถเลือกโหลดได้ ถ้าไม่อยากได้ไฟล์ไหนก็สามารถติ๊กออกได้
- แสดงรายละเอียดหรือข้อความที่ผู้สร้างไฟล์ Torrent เป็นผู้เขียนไว้
กด OK เมื่อเลือกเสร็จแล้ว
เริ่มโหลด และ สถานะที่ควรทราบ
1. ก็คือตัว BitComent กำลังติดต่อไปที่ Tracker เพื่อขอรายการ IP
หากสถานะนี้คงอยู่นานเป็นไปได้ว่า Tracker มันกลับบ้านเก่าไปแล้ว...
2. BitComent ได้รายการ IP มากจากขั้นที่ 1 เรียบร้อยแล้วและกำลังที่จะติดต่อไปหาคนอื่นๆ
จากรายการ IP ที่ได้มา
หากสถานะนี้อยู่นาน เป็นไปได้ว่าไม่มีคนกำลังโหลดไฟล์นี้อีกต่อไปแล้วให้ทำใจลบทิ้งไปเลย
การโหลดไฟล์จาก BitTorrent นี้จะใช้รายการ IP ที่ได้จาก Tracker ซึ่งก็เป็น IP ของคนที่กำลังโหลดอยู่
สามารถแยกได้ 2 ประเภทก็คือ Peer และ Seed
Peer - คือคนที่กำลังโหลดไฟล์อยู่แต่ยังไม่เสร็จ (ขณะที่เรายังโหลดไม่เสร็จก็คือ Peer)
Seed - คือคนที่โหลดไฟล์เสร็จแล้วแต่ยังปล่อยให้ Peer คนอื่นๆ มาโหลดจากตัวเอง
3. BitComent ทำงานเป็นปกติและกำลังดาวน์โหลดไฟล์ในรายการที่แสดงอยู่...
ขณะกำลังดาวน์โหลดสถานะหมายเลข 3 จะอยู่ตลอดจนเสร็จสิ้น...
คำอธิบายแถบสถานะ
Name - ชื่อ Torrent
Size - ขนาดรวมทั้งหมด
% - จำนวนเปอร์เซ็นต์ของไฟล์ที่เราโหลดได้
KB/s Dn - ความเร็วในการดาวน์โหลด
KB/s Up – ความเร็วในการอัพโหลด
Time Left - เวลาที่จะใช้ในการดาวน์โหลดจนเสร็จสิ้น (จากการคำนวณ)
Seed/Peer[all] - จากในรูปนะ 109/160[190/2878]
109 - ติดต่อไปหาคนที่เป็น Seed 109 คนจากทั้งหมด 109 คน
160 - ติดต่อไปหาคนที่เป็น Peer 160 คนจากทั้งหมด 2878 คน
U/D Ratio - อัตราส่วนอัพโหลดต่อดาวน์โหลด
*ความเร็วในการดาวน์โหลดนั้นขึ้นอยู่กับ Seed/Peer ต่ออยู่และความเร็วที่เราอัพโหลดให้คนอื่น
แต่ก็มีข้อควรรู้บางประการที่อยากจะบอกไว้เป็นเคล็ดไม่ลับที่ควรจะนำไปใช้ก็คือ...
การจำกัดความเร็วในการอัพโหลดอย่าให้เกินกำลังของ Bandwidth ที่เรามีเพื่อให้สามารรับส่งข้อมูลได้
อย่างราบลื่นไม่ติดขัดอันจะส่งผลให้โหลดได้ช้ากว่าปกติ
โดยการคลิ้กที่เมนู Options แล้วไปที่ Preferences
เลือกแถบ Connection แล้วทำการระบุความเร็วสูงสุดในการอัพโหลดในช่อง Global Max Upload Rate :
จะคำนวณได้โดยนำความเร็วของขาขึ้นของ Internet ที่ใช้อยู่ เช่น
ใช้ ADSL 1024/512 Kb/s ความเร็วขาขึ้นก็คือ 512 Kb/s
ก็คือจะสามารอัพโหลดได้สูงสุด 512 Kb/s จะจำกัดความเร็วในการอัพโหลดสูงสุดของ BitComet
ไว้ที่ 70% จากทั้งหมดที่มี คำนวณได้โดย (512/100*70) = 358.4 Kb/s เปลี่ยนจากหน่วย Kb/s เป็น KB/s + 2Bits(start/stop bits)
โดย (358.4/10) = 35.8 kB/s
เสร็จสิ้น
เมื่อเราดาวน์โหลดเสร็จเราจะแปลงสภาพจาก Peer กลายเป็น Seed
โดยมารยาทแล้วเมื่อเราดาวน์โหลดเสร็จ จะเป็นการดีถ้าเราสามารปล่อยอัพโหลด
หรือที่เรียกกันว่า Seed จน U/D Ratio ขึ้นมาอย่างน้อย 1.0 ก่อนที่จะปิด/ลบออกไป
วิธีการปิด / ลบ รายการดาวน์โหลด
ทำได้โดยเลือกที่รายการ torrent ที่ต้องการแล้วคลิ้กขวา remove
จะมีให้เลือก 2 อย่างคือ
- Remove task only จะเป็นการลบรายการ Torrent นั้นออกจากตัว BitComet แต่จะคงไฟล์ที่โหลดไว้ที่เดิม
- Remove task and files จะเป็นการลบรายการ Torrent ออกนั้นจากตัว BitComet
และลบไฟล์ที่โหลดทิ้งด้วย
ที่มา http://www.nonstopbit.com/
สามารถหาโปรแกรมนี้ได้จากเวป BitComet.com
เมื่อดาวโหลดไฟล์ Torrent ที่ต้องการมาแล้ว เปิดโปรแกรม Bitcomet
(ใช้โปรแกรมอื่นก็ได้นะ แต่ในที่นี้ใช้ Bitcomet)
1. กด Open
2. เลือกไฟล์ Torrent ที่ได้โหลดมาเมื่อกี้
3. กดปุ่ม Open เมื่อเลือกได้แล้ว
จะมีหน้าต่าง Task Properties… ขึ้นมา
Save Location
เลือกว่าจะไป Save ไว้ที่ไหน ระวังเรื่องพื้นที่ด้วย ถ้าไม่พอเก็บเดี๋ยวจะซวยที่หลัง
Torrent Content
- แสดงไฟล์ที่จะโหลด สามารถเลือกโหลดได้ ถ้าไม่อยากได้ไฟล์ไหนก็สามารถติ๊กออกได้
- แสดงรายละเอียดหรือข้อความที่ผู้สร้างไฟล์ Torrent เป็นผู้เขียนไว้
กด OK เมื่อเลือกเสร็จแล้ว
เริ่มโหลด และ สถานะที่ควรทราบ
1. ก็คือตัว BitComent กำลังติดต่อไปที่ Tracker เพื่อขอรายการ IP
หากสถานะนี้คงอยู่นานเป็นไปได้ว่า Tracker มันกลับบ้านเก่าไปแล้ว...
2. BitComent ได้รายการ IP มากจากขั้นที่ 1 เรียบร้อยแล้วและกำลังที่จะติดต่อไปหาคนอื่นๆ
จากรายการ IP ที่ได้มา
หากสถานะนี้อยู่นาน เป็นไปได้ว่าไม่มีคนกำลังโหลดไฟล์นี้อีกต่อไปแล้วให้ทำใจลบทิ้งไปเลย
การโหลดไฟล์จาก BitTorrent นี้จะใช้รายการ IP ที่ได้จาก Tracker ซึ่งก็เป็น IP ของคนที่กำลังโหลดอยู่
สามารถแยกได้ 2 ประเภทก็คือ Peer และ Seed
Peer - คือคนที่กำลังโหลดไฟล์อยู่แต่ยังไม่เสร็จ (ขณะที่เรายังโหลดไม่เสร็จก็คือ Peer)
Seed - คือคนที่โหลดไฟล์เสร็จแล้วแต่ยังปล่อยให้ Peer คนอื่นๆ มาโหลดจากตัวเอง
3. BitComent ทำงานเป็นปกติและกำลังดาวน์โหลดไฟล์ในรายการที่แสดงอยู่...
ขณะกำลังดาวน์โหลดสถานะหมายเลข 3 จะอยู่ตลอดจนเสร็จสิ้น...
คำอธิบายแถบสถานะ
Name - ชื่อ Torrent
Size - ขนาดรวมทั้งหมด
% - จำนวนเปอร์เซ็นต์ของไฟล์ที่เราโหลดได้
KB/s Dn - ความเร็วในการดาวน์โหลด
KB/s Up – ความเร็วในการอัพโหลด
Time Left - เวลาที่จะใช้ในการดาวน์โหลดจนเสร็จสิ้น (จากการคำนวณ)
Seed/Peer[all] - จากในรูปนะ 109/160[190/2878]
109 - ติดต่อไปหาคนที่เป็น Seed 109 คนจากทั้งหมด 109 คน
160 - ติดต่อไปหาคนที่เป็น Peer 160 คนจากทั้งหมด 2878 คน
U/D Ratio - อัตราส่วนอัพโหลดต่อดาวน์โหลด
*ความเร็วในการดาวน์โหลดนั้นขึ้นอยู่กับ Seed/Peer ต่ออยู่และความเร็วที่เราอัพโหลดให้คนอื่น
แต่ก็มีข้อควรรู้บางประการที่อยากจะบอกไว้เป็นเคล็ดไม่ลับที่ควรจะนำไปใช้ก็คือ...
การจำกัดความเร็วในการอัพโหลดอย่าให้เกินกำลังของ Bandwidth ที่เรามีเพื่อให้สามารรับส่งข้อมูลได้
อย่างราบลื่นไม่ติดขัดอันจะส่งผลให้โหลดได้ช้ากว่าปกติ
โดยการคลิ้กที่เมนู Options แล้วไปที่ Preferences
เลือกแถบ Connection แล้วทำการระบุความเร็วสูงสุดในการอัพโหลดในช่อง Global Max Upload Rate :
จะคำนวณได้โดยนำความเร็วของขาขึ้นของ Internet ที่ใช้อยู่ เช่น
ใช้ ADSL 1024/512 Kb/s ความเร็วขาขึ้นก็คือ 512 Kb/s
ก็คือจะสามารอัพโหลดได้สูงสุด 512 Kb/s จะจำกัดความเร็วในการอัพโหลดสูงสุดของ BitComet
ไว้ที่ 70% จากทั้งหมดที่มี คำนวณได้โดย (512/100*70) = 358.4 Kb/s เปลี่ยนจากหน่วย Kb/s เป็น KB/s + 2Bits(start/stop bits)
โดย (358.4/10) = 35.8 kB/s
เสร็จสิ้น
เมื่อเราดาวน์โหลดเสร็จเราจะแปลงสภาพจาก Peer กลายเป็น Seed
โดยมารยาทแล้วเมื่อเราดาวน์โหลดเสร็จ จะเป็นการดีถ้าเราสามารปล่อยอัพโหลด
หรือที่เรียกกันว่า Seed จน U/D Ratio ขึ้นมาอย่างน้อย 1.0 ก่อนที่จะปิด/ลบออกไป
วิธีการปิด / ลบ รายการดาวน์โหลด
ทำได้โดยเลือกที่รายการ torrent ที่ต้องการแล้วคลิ้กขวา remove
จะมีให้เลือก 2 อย่างคือ
- Remove task only จะเป็นการลบรายการ Torrent นั้นออกจากตัว BitComet แต่จะคงไฟล์ที่โหลดไว้ที่เดิม
- Remove task and files จะเป็นการลบรายการ Torrent ออกนั้นจากตัว BitComet
และลบไฟล์ที่โหลดทิ้งด้วย
ที่มา http://www.nonstopbit.com/
Nero การแปลงไฟล์วิดีโอชนิดต่างๆเป็น DVD Video
วิธีนี้จะสามารถนำไฟล์วิดีโอนามสกุลต่างๆ เช่น .avi .mpg .dat .wmv และอื่นๆ
ที่มีอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ นำมาแปลงเป็น DVD Video ทีพิเศษก็คือ
สามารถเพิ่มเมนูในรูปแบบต่างๆ ตามชอบใจได้ด้วยครับ
หมายเหตุ
ในข้อที่ 6 การตั้งค่าต่างๆ มีดังนี้
-หัวข้อ เบิร์นไปยัง = จะเป็นการเลือกเครื่องบันทึก
-หัวข้อ เขียนไปยังฮาร์ดดิสก์โฟลเดอร์ = จะเป็นการเขียนไฟล์หนังเก็บไว้ในคอม แทนการเขียนลงแผ่น
-หัวข้อ ชื่อโวลุ่ม = ตั้งชื่อแผ่นหนังของเรา
-หัวข้อ ตั้งค่าการบันทึก = ตั้งค่าความเร็วในการเขียนแผ่น
ที่มีอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ นำมาแปลงเป็น DVD Video ทีพิเศษก็คือ
สามารถเพิ่มเมนูในรูปแบบต่างๆ ตามชอบใจได้ด้วยครับ
ในข้อที่ 6 การตั้งค่าต่างๆ มีดังนี้
-หัวข้อ เบิร์นไปยัง = จะเป็นการเลือกเครื่องบันทึก
-หัวข้อ เขียนไปยังฮาร์ดดิสก์โฟลเดอร์ = จะเป็นการเขียนไฟล์หนังเก็บไว้ในคอม แทนการเขียนลงแผ่น
-หัวข้อ ชื่อโวลุ่ม = ตั้งชื่อแผ่นหนังของเรา
-หัวข้อ ตั้งค่าการบันทึก = ตั้งค่าความเร็วในการเขียนแผ่น
การไรท์หนัง DVD เป็นแบบข้อมูล ด้วยโปรแกรม Nero
ข้อดีของการไรท์หนัง DVD เป็นแบบข้อมูล คือ ความเร็วในการเขียน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
Credit : http://www.nonstopbit.com/
การลดขนาดไฟล์ DVD ดว้ย Nero
การใช้โปรแกรม Nero ลดขนาดไฟล์ DVD
วิธีนี้จะสามารถลดขนาดหนัง DVD ให้มีขนาดเล็กลงได้ตามต้องการ
บางทีเราโหลดหนังมาแต่เมื่อจะนำไปเขียนเป็น DVD Video เมื่อเพิ่มไฟล์เข้าไป
ปรากฏว่าขนาดเกิน ทำให้เขียนลงแผ่น DVD ไม่ได้ วิธีนี้จะช่วยท่านได้
และจะรักษาเมนูต่างๆไว้เช่นเดิม หรือจะเลือกตัดในส่วนที่ไม่ต้องการออกก็ได้
หมายเหตุ
หากต้องการรักษาคุณภาพของภาพวิดีโอไว้ก็ไม่ต้องลดขนาดมาก
ลำดับตัวเลือกที่แนะนำว่าสมควรตัดออกเพื่อลดขนาดไฟล์ ก็คือ
ซับภาษาที่เราไม่ได้ใช้ พวกซาวด์5.1ถ้าไม่ได้สนใจก็ตัดไป และเมนูต่างๆ
Credit : http://www.nonstopbit.com/
วิธีนี้จะสามารถลดขนาดหนัง DVD ให้มีขนาดเล็กลงได้ตามต้องการ
บางทีเราโหลดหนังมาแต่เมื่อจะนำไปเขียนเป็น DVD Video เมื่อเพิ่มไฟล์เข้าไป
ปรากฏว่าขนาดเกิน ทำให้เขียนลงแผ่น DVD ไม่ได้ วิธีนี้จะช่วยท่านได้
และจะรักษาเมนูต่างๆไว้เช่นเดิม หรือจะเลือกตัดในส่วนที่ไม่ต้องการออกก็ได้
หากต้องการรักษาคุณภาพของภาพวิดีโอไว้ก็ไม่ต้องลดขนาดมาก
ลำดับตัวเลือกที่แนะนำว่าสมควรตัดออกเพื่อลดขนาดไฟล์ ก็คือ
ซับภาษาที่เราไม่ได้ใช้ พวกซาวด์5.1ถ้าไม่ได้สนใจก็ตัดไป และเมนูต่างๆ
Credit : http://www.nonstopbit.com/
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
keyboard กดเปลี่ยนภาษาไม่ได้
กดเปลี่ยนภาษาบน keyboard ไม่ได้
นันนนี้ผมจะมาแนะนำวิธี การsetให้กดเปลี่ยนภาษาบน keyboard ได้ สำหรับท่านไดที่ลง widows ใหม่แล้วเจอปัญหานี้ มาดูกันครับ.....
คลิกขวาที่ตัวแสดงภาษาที่มุมขวาล่าง แล้วเลือก Settings..
คลิก Key Settings > Change key sequence > Apply > ok
เรียบร้อยครับ แค่นี้ปัญหาการกดเปลี่ยนภาษาบน keyboard ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป...
นันนนี้ผมจะมาแนะนำวิธี การsetให้กดเปลี่ยนภาษาบน keyboard ได้ สำหรับท่านไดที่ลง widows ใหม่แล้วเจอปัญหานี้ มาดูกันครับ.....
คลิกขวาที่ตัวแสดงภาษาที่มุมขวาล่าง แล้วเลือก Settings..
คลิก Key Settings > Change key sequence > Apply > ok
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553
แปลงเอกสาร Word หรืออื่นๆเป็น .Pdf ได้ง่ายๆ
คุณสามารถแปลงเอกสาร Word , Power Point และอีกหลายนามสกุล เป็น .Pdf ได้ง่ายๆ
โดยใช้โปรแกรม Pdf Creator 0.9.3 ครับ ดาวโหลดคลิกที่นี่
เมื่อโหลดโปรแกรมก็ติดตั้งตามปกติ เสร็จแล้วให้คลิกเปิดโปรแกรมขึ้นมา
หน้าตาจะเป็นแบบด้านล่างนี้ครับ
ทีนี้ต้องการแปลงไฟล์ไหน ให้ลากไฟล์นั้นเข้าไปในพื้นที่ตารางของ Pdf Creator เลยครับ
โดยถ้าไฟล์ไหนแปลงได้ ตรง Mouse จะมีรูปเครื่องหมายบวกดังรูป
ถ้าแปลงได้ จะมีหน้ามาให้เราตั้งชื่อไฟล์หลังแปลงครับ แล้วกด Save
เลือกตำแหน่งของไฟล์แปลงได้ แล้วก็กด Save
ก็จะสิ้นสุดการแปลงครับ พบว่าสามารถแปลงไฟล์ที่เป็นภาษาไทย และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อย่างดี
สำหรับบทความ การแปลงเอกสารWord , Power Point และอีกหลายนามสกุล เป็น .Pdf นี้
คงจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ..
โดยใช้โปรแกรม Pdf Creator 0.9.3 ครับ ดาวโหลดคลิกที่นี่
เมื่อโหลดโปรแกรมก็ติดตั้งตามปกติ เสร็จแล้วให้คลิกเปิดโปรแกรมขึ้นมา
หน้าตาจะเป็นแบบด้านล่างนี้ครับ
โดยถ้าไฟล์ไหนแปลงได้ ตรง Mouse จะมีรูปเครื่องหมายบวกดังรูป
ถ้าแปลงได้ จะมีหน้ามาให้เราตั้งชื่อไฟล์หลังแปลงครับ แล้วกด Save
คงจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ..
ป้ายกำกับ:
แปลงเอกสาร Word หรืออื่นๆเป็น .Pdf ได้ง่ายๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)