วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

เทคโนโลยี RAID ระดับต่าง ๆ เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพให้คอมพิวเตอร์

RAID (Redundant Array of Inexpensive Disks) เป็นการนำเอาฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไป
มาเชื่อมต่อให้ทำงานร่วมกันเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ตัวเดียว

สิ่งที่ผู้ใช้ได้รับนอกจากจะได้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงขึ้นทั้งการอ่าน และการเขียนแล้ว
ยังช่วยลดอัตราการสูญเสียของข้อมูลให้น้อยลงในกรณีที่ฮาร์ดแวร์ทำงานผิดพลาด ได้อีก

ด้วยนะครับสำหรับ RAID ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ RAID 0, RAID 1
และ RAID 0+1 หรือว่า RAID 10 นั่นเอง แต่ละแบบจะแตกต่างกัน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังนะครับ

RAID 0 เป็นการทำให้ความเร็วของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือที่เรียกกันว่า Striping ซึ่งความเร็ว
ในการเขียนและอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์จะเพิ่มตามจำนวน ฮาร์ดดิสก์ที่นำมา ใช้ข้อมูลที่เราจัดเก็บลงไป
ในฮาร์ดดิสก์จะถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ ดังนั้นเวลาที่เราเรียกใช้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์จะอ่านข้อมูล
ที่แบ่งมาที่มันเพียงบางส่วนและอีกส่วนจะอยู่ที่ ฮาร์ดดิสก์ตัวอื่น ๆ ที่นำ RAID 0 นี้มันเป็นการทำให้ลดภาระ
ในการอ่านข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ลง

RAID 1 เป็นการทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยสูงขึ้น หรือเรียก RAID 1 ว่า Disk Mirror การทำงาน
ของ RAID 1 คือ เมื่อเราจัดเก็บข้อมูลลงไปในฮาร์ดดิสก์ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเหมือนกันและพร้อมกัน
เหมือนกันกับการสำรองข้อมูลนั่นเอง ถ้าข้อมูลเกิดการเสียหายที่ฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่ง ก็ยังสามารถใช้ข้อมูล
จากฮาร์ดดิสก์อีกตัวได้เพราะว่าเป็นข้อมูลตัวเดียวกัน แต่ว่าความเร็วของฮาร์ดดิสก์ไม่ได้เพิ่มเป็น 2 เท่า
เหมือนกับ RAID 0 จะยังคงเป็นความเร็วเท่าเดิมอยู่

RAID 0+1 หรือ RAID 10 เป็นการนำ RAID 0 กับ RAID 1 มาใช้ร่วมกัน เพื่อให้ได้ทั้งความเร็ว
และความปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง RAID 10 จะต้องใช้ฮาร์ดดิสก์ 4 ตัว โดยหลัก

การทำงานของ RAID 10 คือ
ในการจัดเก็บข้อมูลนั้น ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนเหมือน RAID 0 แล้วมีการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะ
ของ RAID 1 คือเหมือนเป็นการสำรองข้อมูลอีกครั้งนึง เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล

แล้วการทำ RAID จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้ครับ ถ้าจำไม่ผิดจะมีทั้งหมด 53 แบบด้วยกัน แต่ว่า 3 แบบ
ที่ผมได้ให้รายละเอียดไปจะได้รับความนิยมมากที่สุด ปกติการทำ RAID จะทำกับเครื่อง Server
แต่ว่าปัจจุบันความต้องการของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) มีมากขึ้น
และเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงสามารถใช้เทคโนโลยี RAID ได้
กับเครื่อ PC ฮาร์ดดิสก์ที่นำมาใช้ทำ RAID น่าจะเป็น Serial ATA จะดีที่สุด เพราะว่าอัตราการส่ง
และโอนถ่ายข้อมูลทำได้ดีกว่า ฮาร์ดดิสก์ ATA จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล 133 Mbps
(Megabyte per second) แต่ถ้าเป็น Serial ATA จะมีอัตราการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 150 Mbps
 (Megabyte per second)

การจะทำ RAID จะต้องใช้เมนบอร์ดที่มี chipset ที่รองรับการทำ RAID ด้วย
( ส่วนใหญ่จะหนักไปทาง chipset ของ INTEL ซะมากกว่า ) แต่ว่าถ้าไม่รองรับก็จะมีตัวอุปกรณ์พิเศษ
ที่นำมาใช้ทำ RAID ได้เช่นกัน

การทำ RAID จะมี 2 แบบด้วยกันคือ ด้วย Hardware กับด้วย Software ถ้าทำ RAID ด้วย Hardware
คือจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเข้ามาช่วย ( อันนี้ไม่เคยทำครับ ) อีกแบบคือทำ RAID ด้วย Software
คือใช้ตัวซอฟต์แวร์ในการจัดการ เราจะต้องมีตัวซอฟต์แวร์ หรือ Driver RAID ซึ่งเมนบอร์ดแต่ละตัว
มีซอฟต์แวร์ในการทำ RAID ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่สามารถจะนำฮาร์ดดิสก์ที่ทำ RAID จากเมนบอร์ดตัวนึง
ไปใช้งานกับเมนบอร์ดตัวอื่นได้ ถ้าจะใช้จะต้องทำ RAID ใหม่ครับ และเมื่อเราถอดฮาร์ดดิสก์ที่ทำ RAID
มาต่อเป็นตัวเดียวหรือแบบธรรมดา ก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกเช่นกัน ระบบปฏิบัติการที่จะใช้ร่วมกับ
การทำ RAID นะครับ เท่าที่ลองมาจะเป็น windows XP Service Pack 2 ส่วนวิธีการก็แตกต่างกันไป
แล้วแต่เมนบอร์ดแต่ละยี่ห้ออีกเช่นกัน ค่อนข้างยุ่งยากมากเลยทีเดียว


Credit : http://smf.ruk-com.in.th

ไม่มีความคิดเห็น:

ผู้ติดตาม